Monday, December 6, 2010

แจกฟรีคู่มือ: การดูแลสุขภาพที่บ้าน

น้ำใจได้รับแจกมาอีกทีค่ะ นานมากแล้ว ตอนที่ได้รับมาก็เปิดอ่านมันทุกหน้าเลย แล้วก็ทึ่งคนที่รวบรวมข้อมูลเหล่านี้มาทำหนังสือมากๆ เพราะเป็นอะไรที่น้ำใจเคยใฝ่ฝันว่าอยากจะทำหนังสือนี้ และในวันนี้ก็ได้มีคนทำมันขึ้นมาแล้ว ... หนังสือคู่มือ "การดูแลสุขภาพที่บ้าน" เป็นหนังสือคู่มือดูแลสุขภาพด้วยตนเองที่บ้านซึ่งดีมากๆ แนะนำว่าทุกบ้านควร download และเก็บไว้เป็นหนังสืออ้างอิงทางด้านสุขภาพนะคะ หรือถ้าจะพิมพ์ออกมาเย็บเป็นเล่มเพื่อให้ง่ายเวลาใช้งานก็ยิ่งดีใหญ่เลยค่ะ

เนื้อหาในเล่มกล่าวเป็นเรื่องๆ ครอบคลุมเรื่องของจิตใจ, หัวใจและหลอดเลือด, ทางเดินอาหารและตับ, โรคกระเพาะ, ไวรัสตับอักเสบ, กระดูก,ข้อ และกล้ามเนื้อ, ข้อเข่า, ปวดคอ, ปวดหลัง, โรครูมาตอยด์, โรคเก๊าต์, โรคแพ้ภูมิ, โรคทางระบบประสาทและสมอง, การปฐมพยาบาลผู้ป่วยโรคลมชัก, การดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม, โรคนอนไม่หลับ, ตา และหู, โรคอ้วน, ไขมัน, เบาหวาน, ความดันเลือดสูง, ไข้หวัด, วิธีการเลิกบุหรี่, โรคหืดและภูมิแพ้, .. และอื่นๆ อีกมากมาย

และที่ลืมไม่ได้ ต้องขอกล่าวถึงที่มาของหนังสือเล่นนี้ก่อนนะคะ หนังสือคู่มือ "การดูแลสุขภาพที่บ้าน" เป็นหนังสือที่ศาสตาจารย์แพทย์หญิงอรวรรณ พฤทธิพันธ์ ได้พิมพ์แจกในงานศพของ นพ.สุหัท ฟุ้งเกียรติ ผู้เป็นบิดา เพื่อเป็นที่ระลึกและอนุสรณ์แด่คุณพ่อผู้สังขารล่วงลับไป แต่ทิ้งคำสั่งสอนและความตั้งใจดี ที่อยากให้ทุกคนรู้จักการดูแลสุขภาพที่บ้าน ที่สามารถทำได้อย่างง่ายๆ และมีประสิทธิภาพ เพื่อตนเองและคนที่เรารัก

น้ำใจขอนำหนังสือนี้มาแจกแด่ผู้อ่านบล็อกของน้ำใจทุกท่านนะคะ ประโยชน์อันใดที่ได้รับจากหนังสือเล่มนี้ ขออุทิศให้แด่ผู้เขียนและผู้ที่เอามาแจกต่อๆ กันไปทุกท่านทุกคนค่ะ

download ได้ที่ลิงค์นี้เลยค่ะ --> คู่มือการดูแลสุขภาพที่บ้าน

อันสุขทุกข์ อยู่ที่ใจ มิใช่หรือ
ใจเราถือ เป็นทุกข์ ไม่สุกใส
ใจไม่ถือ เป็นสุข ไม่ทุกข์ใจ
เราอยากได้ ความทุกข์ หรือสุขเอย

Saturday, December 4, 2010

การบริหารข้อเท้า เพื่อช่วยเรื่องการทรงตัว


1. ยืนหันหน้าเข้าหากำแพง มือเท้ากำแพงไว้ ขาขวาอยู่หน้า งอเข่า ขาซ้ายอยู่หลัง เหยียดตึง นำสะโพกเข้าหากำแพง พร้อมกับกดส้นเท้าติดพื้น  ค้างไว้นับ 1-10 แ้ล้วปล่อย ทำ 10 ครั้ง จากนั้นเปลี่ยนขาซ้ายอยู่หน้า งอเข่า ทำเช่นเดียวกัน

2. ยืนหันหน้าเข้าหากำแพง มือเท้ากำแพงไว้ ขาขวาอยู่หน้า งอเข่า ขาซ้ายอยู่หลัง เหยียดตึง ลดสะโพกลงหาพื้น พร้อมกับงอเข่าและส้นเท้ายังคงติดพื้น  ค้างไว้นับ 1-10 แ้ล้วปล่อย ทำ 10 ครั้ง จากนั้นเปลี่ยนขาซ้ายอยู่หน้า งอเข่า ทำเช่นเดียวกัน

3. นั่งตัวตรงบนเก้าอี้ ยกขาขึ้นจากเก้าอี้เล็กน้อย งอเข่า และกระดกข้อเท้าขึ้นลง

4. นั่งบนพื้น กางขา และเหยียดเข่าสุด กระดกข้อเท้าขึ้นลง  จากนั้น หมุนข้อเท้าไปทางซ้ายและขวาสลับกัน และบิดเข้าบิดออก

การบริหารข้อเข่า เพื่อช่วยเรื่องปวดขาปวดเข่า


1. นั่งตัวตรง กระดกข้อเท้าและแตะขาขึ้น เกร็งค้างไว้ นับ 1-10 แล้วค่อยๆ วางเท้าลงกับพื้น

2. นอนเหยียดขา กระดกข้อเท้าขึ้น พร้อมกดเข่าลงติดเตียง เกร็งค้างไว้  นับ 1-10 แล้วปล่อย

3. นั่งหรือยืน ศีรษะตั้งตรง มือทั้งสองจับผ้าหรือกระบองทางด้านหลังของลำตัว ยกแขนทั้งสองขึ้นและลง

4. นั่งหรือยืน ศีรษะตั้งตรง มือทั้งสองจับผ้าหรือกระบอง ยกแขนทั้งสองขึ้นจนสุด เอียงแขนไปมา้ซ้ายและขวา

5. นั่งหรือยืน ศีรษะตั้งตรง กางแขนออกสุด เหยียดศอก หงายมือ หมุนแขนไปด้านหลัง

6. นั่งหรือยืน ศีรษะตั้งตรง ประสานมือทั้งสอง เหยียดศอก ยกแขนขึ้นมาระดับหน้าอก เอื้อมมาด้านหน้า ยกแขนขึ้นสุด หงายมือ เอื้อมขึ้นด้านบน


7. นอนชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง อีกข้างให้ยกขาขึ้น กระดกข้อเท้า งอและเหยียดเข่าขึ้นลงเล็กน้อย ทำสลับไปมาทั้งเข่าซ้ายและขวา

นอกจากนี้ ผู้สูงอายุอาจขี่จักรยานร่วมกับการออกกำลังกายท่าต่างๆ ข้างต้นได้อีกด้วย

ท่าบริหารเหล่านี้ จะช่วยลดการตึงและรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้ข้อต่อบริเวณคอ ข้อไหล่ และข้อเข่า มีมุมการเคลื่อนไหวที่ดีขึ้นและรักษาความมั่นคงของข้อต่อ  อย่างไรก็ตาม หากอาการปวดคอ ปวดไหล่ หรือปวดเข่ายังไม่ทุเลาลง หรือมีอาการอื่นๆ ปรากฎขึ้น ควรไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือนักกายภาพบำบัด เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการเหล่านั้น

การบริหารข้อไหล่ เพื่ือช่วยป้องกันไหล่ติด


1. นั่งหรือยืน ศีรษะตั้งตรง  มือทั้งสองจับผ้าหรือกระบองในลักษณะกางแขนเล็กน้อย  จากนั้นจับผ้าหรือกระบองในลักษณะหงายมือ ยกแขนทั้งสองขึ้นจนสุด เหยียดไปด้านหลังเล็กน้อย

2. นั่งหรือยืน ศรีษะตั้งตรง ประสานมือทั้งสองไว้ที่ท้ายทอย แบะไหล่ออก

3. นั่งหรือยืน ศรีษะตั้งตรง นำมือข้างซ้ายแตะไหล่ขวา และนำมือข้างขวาไปจับข้อศอกซ้าย ใช้มือขวาดันศอกซ้ายไว้  จากนั้นสลับกัน นำมือข้างขวาแตะไหล่ซ้าย และนำมือข้างซ้ายไปจับข้อศอกขวา ใช้มือซ้ายดันศอกขวาไว้

Friday, December 3, 2010

การบริหารคอ เืพื่อช่วยปัญหาเรื่องการวิงเวียนศีรษะ

ท่ากายบริหารคอเพื่อช่วยเรื่องการวิงเวียนศีรษะ

1. ให้นั่งในท่าที่สบาย

2. ใช้นิ้วหัวแม่มือคลึงกล้ามเนื้อบริเวณท้ายทอยและต้นคอส่วนบน

3. หากการวิงเวียนศีรษะลดลงหรือไม่มีอาการ ให้บริหารต่อในท่านั่งตัวตรง แล้วหันศีรษะไปทางซ้ายสุด และขวาสุด

4. เอียงศีรษะไปทางหัวไหล่ซ้ายสุดและขวาสุด

5. ก้มศีรษะลงสุด

6. เงยศีรษะขึ้นสุด

แต่ละท่าให้ทำอย่างช้าๆ และหายใจเข้าออกช้าๆ ทำท่าละประมาณ 10 - 15 ครั้ง


การออกกำลังกายในผู้สูงอายุ


ผู้สูงอายุมักจะมีปัญหากล้ามเนื้อตึงอันเนื่องมาจากการที่กล้ามเนื้อยืดหยุ่นน้อยลง ทำให้มักมีอาการปวดเมื่อย การลุกการนั่งก็ทำได้ไม่สะดวกเท่าไร  นอกจากนี้ หากกล้ามเนื้อบริเวณคอมีการตึง ก็จะทำให้เกิดการวิงเวียนศีรษะและปวดกระบอกตาได้  นอกจากปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ผู้สูงอายุมักมีการหล่อลื่นของข้อต่อน้อยลง เป็นสาเหตุให้มีอาการปวดตามข้อได้เมื่ออยู่ในท่าใดนานๆ

ดังนั้น การออกกำลังกายในผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อรักษาการเคลื่อนไหวของข้อต่อ โดยการยืดกล้ามเนื้อและเคลื่อนไหวข้อต่อต่างๆ ให้เต็มช่วงการเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ

กล่าวเป็นข้อๆ ประโยชน์ของการบริหารร่างกายของผู้สูงอายุ มีประโยชน์ดังนี้
  1. ช่วยชะลอความแก่ และกระฉับกระเฉงขึ้น ชลอความเสื่อมของสมรรถภาพทางร่างกายและการลดลงของประสิทธิภาพในการทำงาน
  2. ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก ควบคุมไม่ให้น้ำหนักเกิน หรืออ้วน ทำให้เคลื่อนไหวคล่องแคล่วขึ้น 
  3. ทำให้การทรงตัว และการทำงานของอวัยวะต่างๆ มีการประสานสัมพันธ์กันดีขึ้น 
  4. ช่วยยืดอายุให้ยืนยาวขึ้น 
  5. มีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งร่างกาย จิตใจ มีสมาธิในการทำงาน
  6. ช่วยลดความเครียด  ทำให้อารมณ์ดี และทำให้การนอนหลับพักผ่อนดีขึ้น
  7. การออกกำลังกายทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หัวใจทำงานได้ทนทานมากขึ้น และช่วยให้ระดับไขมันในเลือดลดลง ลดอัตราการเกิดหลอดเลือดตีบตันที่หัวใจ สมอง และไต ลดอุบัติการของการเกิดอัมพาตได้ 
  8. ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรค หรือระบบไหลเวียน ระบบหายใจ กล้ามเนื้อ และกระดูกแข็งแรงขึ้น 
  9. ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น 
วันนี้น้ำใจจึงนำท่ากายบริหารร่างกายสำหรับผู้สูงวัยมาแนะนำค่ะ โดยแบ่งเป็นการบริหารร่างกายเป็นส่วนๆ เพื่อเน้นแก้ปัญหาเฉพาะจุดไป ดังนี้

1. การบริหารคอ เืพื่อช่วยปัญหาเรื่องการวิงเวียนศีรษะ
2. การบริหารข้อไหล่ เพื่ือช่วยป้องกันไหล่ติด
3. การบริหารข้อเข่า เพื่อช่วยเรื่องปวดขาปวดเข่า
4. การบริหารข้อเท้า เพื่อช่วยเรื่องการทรงตัว

หมายเหตุ
ในการออกกำลังกายทุกครั้ง ผู้สูงอายุควรจะประเมินความเหมาะสม และความสามารถก่อน เช่น บางคนที่มีโรคประจำตัวเช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ว่าควรออกกำลังกายประเภทใด และมากน้อยเพียงใด การเริ่มออกกำลังกายนั้นควรเริ่มจากการศึกษาหลักการให้ถูกต้องก่อน แล้วค่อย ๆ เริ่ม ไม่ควรหักโหมมากในครั้งแรก ๆ เพื่อเป็นการปรับสภาพร่างกายก่อน การออกกำลังกายที่ดี ควรเป็นการออกกำลังกายที่ต่อเนื่องไม่ใช่หักโหมทำเป็นครั้งคราว ควรเริ่มจากการอุ่นร่างกาย (ประมาณ 5-10 นาที) ออกกำลังกาย (15-20 นาที) และจบด้วยการผ่อนคลาย (5-10 นาที) ทุกครั้ง ในการออกำลังกายทุกครั้งไม่ควรกลั้นหายใจ หรือสูดลมหายใจอย่างแรง ควรหายใจเข้า และออกยาว ๆ เพื่อช่วยระบบการหายใจของร่างกาย การออกกำลังกายที่เหมาะสมของผู้สูงอายุนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน

Wednesday, October 27, 2010

การสวดมนต์ รักษาโรคได้จริงหรือ?


เชื่อหรือไม่ว่าหากเราสวดมนต์ (ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม) เพื่อให้ใครสักคนหายป่วย แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก แต่พลังแห่งบทสวดนั้นจะเดินทางไปเยียวยาความเจ็บป่วยของเขาได้ ???  เพราะการสวดมนต์บำบัดทำให้เกิดทั้งคลื่นเสียงที่สามารถเดินทางลึกเข้าไปในสมอง และคลื่นไฟฟ้าที่ส่งกระจายไปในชั้นบรรยากาศไกลๆได้

การสวดมนต์บำบัด คือหลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy หรือ Vibrational Medicine คือการใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย ซึ่งมีหลากหลายวิธี อาทิ เก้าอี้ไฟฟ้า เครื่องนวดต่างๆ ก็เป็นVibrational Therapy เช่นกัน แต่เป็นคลื่นไฟฟ้าเชิงฟิสิกส์ที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต ต่างจากสวดมนต์บำบัดซึ่งเป็นคลื่นที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต

ดังนั้นมาดูพลังแห่งการสวดมนต์บำบัดกันว่าคืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร ???

คลื่นแห่งการเยียวยา
การสวดมนต์ใช้หลักการทำให้เกิดคลื่นเสียงที่มีความสม่ำเสมอ เพื่อเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้เกิดการเยียวยา ซึ่งหากคลื่นเสียงที่มากระทบดังแบบไร้ระเบียบ คือประกอบด้วยเสียงที่มีความถี่ต่างๆ กัน ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อการบำบัดกลไกดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อหูของเราได้ยินเสียงบทสวด ก็จะส่งสัญญาณต่อไปยังศูนย์การได้ยินที่อยู่บริเวณสมองกลีบขมับ ก่อนส่งไปบริเวณก้านสมอง ซึ่งเมื่อได้รับคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาที ก็จะหลั่งสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์มากมาย

เสียงสวดมนต์ด้วยสมาธิเป็นยา :ให้ผลกับร่างกายเอนกอนันต์

รองศาสตราจารย์ ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายเพิ่มเติมดังนี้

“สมองของเราเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาทีขึ้นไป จะทำให้เซลล์ประสาทของระบบประสาทสมอง สังเคราะห์สารสื่อประสาทหลายๆ ชนิด

“บริเวณก้านสมองจะหลั่งสารสื่อประสาทชื่อ ซีโรโทนิน (serotonin) เพิ่มขึ้น ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ ช่วยการเรียนรู้ ลดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ลดระดับน้ำตาลในเลือด และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น เมลาโทนิน ซึ่งเปรียบคล้ายกับยาอายุวัฒนะ เพราะจะช่วยยึดอายุการทำงานของเซลล์ประสาท เซลล์ร่างกาย ให้ชีวิตยืนยาวขึ้น และยังมีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับ เพิ่มภูมิต้านทาน ทำให้เซลล์สดชื่นขึ้น รวมถึง โดปามีน มีฤทธิ์ลดความก้าวร้าวและอาการพาร์กินสัน'

“นอกจากนี้ปริมาณของซีโรโทนินมีความสัมพันธ์ต่อการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อ ประสาทอื่นๆ เช่น อะเซทิลโคลีน ช่วยในกระบวนการเรียนรู้และความจำ ช่วยขยายเส้นเลือด ทำให้ความดันลดลง และยังช่วยลดปริมาณ อาร์กินิน วาโซเปรสซิน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมความก้าวร้าว ความสมดุลของน้ำ และซีโรโทนินยังเข้าไปลดปริมาณของสารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นของการทำงานของต่อมหมวกไตให้ลดลง ส่งผลให้ระบบประสาทส่วนกลางทำงานน้อยลง ร่างกายจึงรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง และไม่เครียด ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น

ดังนั้น จุดสำคัญจึงอยู่ที่ร่างกายจะสามารถสร้างสารสื่อประสาทได้หรือไม่ อาจารย์สมพรเสริมว่า

“หลักการสำคัญอยู่ที่หากมีสิ่งเร้าหลายๆ ประเภทเข้ามารบกวนกระบวนการทำงานของคลื่นสมองพร้อม ๆ กัน ทำให้สัญญาณคลื่นสมองเปลี่ยนไป การหลั่งสารสื่อประสาทจะสับสน ไม่มีผลในการเยียวยา สิ่งเร้านี้มาจากหลายส่วน ทั้งตัวเอง เช่น บางคนปากสวดมนต์ แต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น ก็ไม่ได้ประโยชน์ และการเกิดเสียงดังอื่นๆ เข้ามารบกวนขณะสวดมนต์ เพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ได้ไวและอ่อนไหวมาก เรามีตัวประสาทรับสัญญาณมากมาย เรารับสิ่งเร้าได้ทั้งจากทางปาก ตา หู จมูก การเคลื่อนไหว และใจ เหล่านี้ทำให้สัญญาณคลื่นสมองสับสนและเปลี่ยนไป ร่างกายก็จะสร้างซีโรโทนินได้ไม่มากพอ”

และไม่ใช่เฉพาะสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์เท่านั้นที่เราจะได้จากการสวดมนต์ แต่การสวดมนต์ยังทำให้อวัยวะต่างๆได้รับการกระตุ้น คล้ายกับการนวดตัวเองจากการเปล่งเสียงสวดมนต์


สวดมนต์กระตุ้นอวัยวะ
อาจารย์เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต อธิบายหลักการนี้ว่า

“เวลาเราสวดมนต์นานๆ คำแต่ละคำจะสร้างความสั่นสะเทือนไม่เท่ากันตามฐานที่เกิดของเสียงหรือตามวิธีเปล่งเสียง  แม้ว่าเสียงจะออกมาจากปากเหมือนกัน แต่ว่าเสียงบางเสียงออกมาจากริมฝีปาก บางเสียงออกมาจากปุ่มเหงือก บางเสียงออกมาจากไรฟัน บางเสียงออกมาจากคอ  ดังนั้น ถ้าเราสวดมนต์ถูกต้องตามฐานกรณ์จึงเกิดพลังของการสั่น”

และเมื่อเกิดพลังของการสั่น การสั่นนี้จะเข้าไปเยียวยาอาการป่วยได้อย่างไร?  อาจารย์เสถียรพงษ์อธิบายต่อว่า

“เวลาเราสวดมนต์ เสียงสวดจะไปช่วยกระตุ้นต่อมต่างๆ ซึ่งจะช่วยปราบเชื้อโรคบางชนิด เช่นการวิจัยของฝรั่ง พบว่า อักษร เอ บี ซี ดี จะช่วยกระตุ้นระบบน้ำย่อย ส่วนบทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา เสียงอักขระแต่ละตัวมีคำหนักเบาไม่เท่ากัน บางตัวสั่นสะเทือนมาก บางตัวสั่นสะเทือนน้อย ทำให้ต่อมต่างๆ ในร่างกายถูกกระตุ้น เมื่อต่อมที่ฝ่อถูกกระตุ้นบ่อยๆ เข้า ก็คงคืนสภาพ อาการป่วยก็จะดีขึ้น”

นอกจากนี้ยังมีบทความที่อธิบายเกี่ยวกับการฝึกเปล่งเสียงเพื่อรักษาโรคจากเสียงต่างๆ เช่น 
โอม กระตุ้นหน้าผาก 
ฮัม กระตุ้นคอ 
ยัม กระตุ้นหัวใจ 
ราม กระตุ้นลิ่นปี่ 
วัม กระตุ้นสะดือ 
ลัม กระตุ้นก้นกบ  เป็นต้น

แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น 
การสวดมนต์ให้ประโยชน์ทางใจที่มีคุณค่ากับผู้สวด

รองศาสตราจารย์จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปว่ามี 2 ข้อคือ

1. การสวดมนต์เป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ โดยต้องสวดเสียงดัง ให้หูได้ยินเสียงตัวเอง และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวด เมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่น ใจอยู่กับเสียงเดียว จึงเกิดสมาธิ

2. ถ้าเข้าใจความหมายของบทสวดนั้นๆ จะทำให้เรามีความเลื่อมใสศรัทธา เพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงาม จิตใจก็จะสะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวด

เมื่อร่างกายที่รับสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์และการกระตุ้นระบบอวัยวะต่างๆ ให้ทำงานเป็นปกติ เท่ากับว่าเราได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ย่อมทำให้ภูมิชีวิตดีขึ้นเป็นลำดับ ความป่วยก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยในต่างประเทศที่อาจารย์สมพร สรุปให้ฟังว่า การสวดมนต์ช่วยบำบัดอาการป่วยและโรคร้ายดังต่อไปนี้
1. หัวใจ 
2. ความดันโลหิตสูง 
3. เบาหวาน 
4. มะเร็ง 
5. อัลไซเมอร์ 
6. ซึมเศร้า 
7. ไมเกรน
8. ออทิสติก 
9. ย้ำคิดย้ำทำ 
10. โรคอ้วน 
11. นอนไม่หลับ 
12.พาร์กินสัน 

สวดมนต์อย่างไรให้หายจากโรค
สวดมนต์บำบัด มีวิธีการและจุดประสงค์ที่หลากหลาย สรุปออกมาได้ 3 แบบ

1. การสวดมนต์ด้วยตัวเอง
เป็นการเหนี่ยวนำตัวเอง จึงเป็นที่มาของคำว่า Prayer Therapy ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะหากใครสักคนคิดที่จะสวดมนต์ นั่นหมายความว่าเขากำลังมีความปรารถนาดีต่อตนเอง วิธีการที่อาจารย์สมพรแนะนำคือ

- ควรสวดด้วยตัวเอง และไม่ควรสวดมนต์หลังกินอาหารทันที ควรทิ้งช่วงให้ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย อาจเป็นเวลาก่อนเข้านอน
- หาสถานที่ที่สงบเงียบ
- สวดบทสั้น ๆ 3-4 พยางค์ โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีขึ้นไป จะทำให้ร่างกายได้หลั่งสารซีโรโทนิน แต่หากสวดมนต์ด้วยบทยาวๆ จะได้ความผ่อนคลายและความศรัทธา
- ขณะสวดมนต์ให้หลับตา สวดให้เกิดเสียงดังเพื่อให้ตัวเองได้ยิน

2. การฟังผู้อื่นสวดมนต์
เป็นการเหนี่ยวนำโดยคลื่นเสียงจากผู้อื่น เช่น การฟังเสียงพระสวดมนต์ เสียงผู้นำสวดในศาสนาต่างๆ หากผู้สวดมีสมาธิ เสียงสวดนั้นจะนุ่ม ทุ้ม ทำให้เกิดคลื่นที่ช่วยเยียวยา (healing) ผู้ฟัง แต่หากผู้สวดไม่มีสมาธิ ไม่มีความเมตตา เสียงสวดที่เกิดขึ้นอาจเป็นคลื่นขึ้นๆ ลงๆ นอกจากจะไม่ช่วยเยียวยาอาการป่วย อาจทำให้เสียสุขภาพได้

3. การสวดมนต์ให้ผู้อื่น
ปรากฏการณ์มากมายที่เราเห็นในสังคม เมื่อใครสักคนเจ็บป่วย เรามักสวดมนต์อธิษฐานขอให้ความเจ็บป่วยของเขาหายไป บางครั้งอยู่ห่างกันคนละซีกโลก เสียงสวดมนต์เหล่านี้จะมีผลทำให้สุขภาพเขาดีขึ้นจริงหรือไม่? อาจารย์สมพรอธิบายดังนี้

คลื่นสวดมนต์ เป็นคลื่นบวก เพราะเกิดจากจิตใจที่ดีงาม ปรารถนาดีต่อผู้ป่วย และเมื่อเราคิดจะส่งสัญญาณนี้ออกไปสู่ที่ไกลๆ มันจะเดินทางไปในรูปของคลื่นไฟฟ้า ซึ่งมนุษย์มีเซลล์สมองที่สามารถส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าและสารเคมีได้ถึงสิบยกกำลังสิบ คลื่นนี้จึงเดินทางไปได้ไกลๆ 

บางทีพ่อกำลังป่วยหนักอยู่ที่นี่ แต่ลูกอยู่ต่างประเทศ ก็สามารถรับคลื่นนี้ได้และรู้ว่ามีใครกำลังไม่สบาย ที่เราเรียกว่า ลางสังหรณ์หรือสัมผัสที่หก

การรับรู้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้รับผู้ส่งด้วย ถ้าคนไหนรับสัญญาณคลื่นแห่งบทสวดมนต์ได้จึงได้ผล เหมือนเราเปิดวิทยุ ถ้าคนฟังปิดหูก็จะไม่ได้ยิน ดังนั้นถ้าต่างฝ่ายต่างเปิดรับคลื่นบวกที่เราส่งไป ผู้ป่วยก็จะได้รับ และทำให้อาการป่วยดีขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องของความมหัศจรรย์ แต่เป็นหลักธรรมชาติทั่วไป

เลือกสวดมนต์อย่างไรดี
แล้วบทสวดที่เลือก ควรใช้บทไหนดี อาจารย์สมพรแนะนำว่า

“น่าแปลกที่บทสวดในศาสนาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีจังหวะขึ้นๆ ลงๆ เหมือนจังหวะเพลง จะมีโทนเสียงแค่ไม้เอกไม้โทเท่านั้น สักสามสี่พยางค์ มาสวดซ้ำไปมาได้ทั้งนั้น
พระพุทธศาสนา มีบทสวดมากมายหลายบท ให้เลือกใช้ตามความชอบ ยกตัวอย่างเช่น อิติปิโส หรือ นะโมตัสสะ นะโมพุทธายะ หรือสัพเพสัตตา ฯลฯ เลือกท่อนใดท่อนหนึ่งแล้วสวดวนไปวนมา หรือโพชฌงค์ 7 ที่หลายคนนิยมสวดให้ตัวเองหรือคนไข้หายป่วย

“ข้อที่น่าสังเกตคือ บทสวดโพชฌงค์ 7 จะมีความแตกต่างจากบทสวดอื่นๆ คือ คลื่นเสียงของบทสวดจะมีแค่เสียงสระ มีแค่สองจังหวะ คลื่นเสียงจากบทสวดจึงทำให้เกิดคลื่นที่เยียวยาได้ดีที่สุด”

อยากให้ตัวเองและผู้อื่นมีสุขภาพกายใจเป็นสุขและยังน้อมนำกุศลจิต เริ่มจากการสวดมนต์เป็นประจำด้วยสมาธิ


ที่มา:  นิตรสารชีวจิต ฉบับแรกของเดือนมกราคม 2551
เรื่อง Vibrational Therapy : สวดมนต์บำบัด โดย: ชมนาด

Wednesday, October 6, 2010

อันตรายจากชาเขียว



เรื่องจริงที่อยากให้คนไทยได้ไม่รู้.....ชาเขียวแช่เย็นอันตราย ...อย่าดื่มถ้าไม่อยากตายผ่อนส่ง

ชาเขียว เป็นชาที่คนญี่ปุ่นรู้จักกันมานานกว่า 100 ปี ในขณะที่คนไทยเพิ่งรู้จักกันไม่เกิน 10 ปีมานี้เอง คนญี่ปุ่นนิยมดื่มชาเขียวร้อน เพราะได้พิสูจน์แล้วว่าชาเขียวร้อนมีคุณสมบัติลดอนุมูลอิสระที่เป็นพิษในร่างกายคนเราให้ขับออกมาทางอุจจาระ และขับไขมันส่วนเกินออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระ

ชาเขียวชึ่งทำให้ร่างกายสามารถขับพิษและลดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย อันเป็นคุณสมบัติเฉพาะของชาเขียวร้อน ที่คนญี่ปุ่นนิยมดื่มกันตั้งแต่เด็กจนแก่

แต่....คนไทยส่วนใหญ่ นิยมดื่มชาเขียวแช่เย็น โดยไม่รู้จักคุณสมบัติที่แท้จริงของชาเขียวเลย  เพราะชาเขียวที่มีคุณอนันต์นั้น ย่อมมีโทษมหันต์เช่นกัน หากไม่รู้วิธีดื่มที่ถูกต้อง ...

ชาเขียว จะมีประโยชน์ต่อร่างกาย ก็ต่อเมื่อมันยังร้อนอยู่เท่านั้น แต่ถ้าหากดื่มชาเขียวเย็นแล้ว ก็กลับจะทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย กล่าวคือ การดื่มชาเขียวแช่เย็น นอกจากไม่ช่วยในการลดอนุมูลอิสระ ขับสารพิษออกจากร่างกายได้แล้ว ยังก่อให้เกิดการเกาะตัวแน่นของสารพิษดังกล่าวอันเป็นสาเหตุของมะเร็ง  นอกจากนี้ ชาเขียวเย็นยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และอุดตันตามผนังลำไส้ ทำให้เกิดโรคร้ายตามมา อาทิเช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งลำไส้ เส้นเลือดตีบ เป็นต้น

เราสามารถทดสอบให้เห็นอันตรายที่กล่าวมาเบื้องต้นนี้ได้ด้วยตนเอง โดยการนำชาเขียวแช่เย็น (ยิ่งเย็นจัด ยิ่งเห็นชัด) นำมาเทลงในชามก๊วยเตี๊ยว จะพบว่าหลังจากเทชาเขียวแช่เย็นลงไปได้สักครู่ จะมีคราบไขมันลอยให้เห็นเป็นคราบบนน้ำซุป หรือเกาะเป็นคราบที่ชามก๊วยเตี๊ยวทันที แล้วร่างกายเราล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อดื่มชาเขียวแช่เย็นเข้าไป

ดังนั้น คนญี่ปุ่นที่รู้เรื่องชาเขียวดี จึงไม่ดื่มชาเขียวแช่เย็นอย่างเด็ดขาด แต่จะดื่มชาเขียวร้อนอย่างชาญฉลาด ในขณะที่คนไทยที่คิดว่าตนเองฉลาด กลับดื่มชาเขียวแช่เย็นกันอย่างเอร็ดอร่อย ...เอวัง

Thursday, September 23, 2010

ดู จด ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง อย่างได้ผล

วันนี้น้ำใจขอหยิบยกบทความดีๆ จากผู้เขียนนามปากกา "โยโมทาโร่" จาก หนังสือพิมพ์ทูเดย์-ไกด์ ฉบับวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553  เรื่อง "เวทวอทเชอร์ จับตาวายร้ายไขมันเกิน" มานำเสนอค่ะ  น้ำใจอ่านแล้ว เห็นว่าเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ และทำได้ง่ายๆ และเชื่อว่าถ้าทำตามที่แนะนำ น่าจะได้ผลในการควบคุมน้ำหนักได้ชะงักแน่แท้เชียว ค่ะ

เวทวอทเชอร์ จับตาวายร้ายไขมันเกิน

การออกกำลังกายควบคู่ไปกับการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง จะช่วยทำให้ตัวคุณมีบุคลิกดูดีมีเสน่ห์ แต่คุณเคยสังเกตไหมว่าทำไม เวลาลดน้ำหนักช่างยากเย็นแสนเข็ญ แต่เวลาน้ำหนักขึ้นนั้น พรวดพราดอย่างไม่ทันตั้งตัว  วันนี้เรามีวิธีควบคุมน้ำหนักไม่ให้ขึ้นพรวดพราดชนิดที่คุณทำเองได้ง่ายมากๆ ครับ ด้วยวิธีการที่เรียกว่า เวทวอทเชอร์ (weight watcher)

เวทวอทเชอร์ เป็นหนึ่งในวิธีการจัดการโปรแกรมลดน้ำหนักที่นิยมใช้ทั่วไปตามศูนย์ฟิตเนต ที่จัดโปรแกรมลดน้ำหนัก ให้เห็นผลภายใน 3 เดือน 3 ปีอะไรก็ว่ากันไปตามโปรแกรมของแต่ละที่  อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่วิธีลดน้ำหนัก แต่เป็นวิธีการสำรวจตัวเองอย่างละเอียด ถึงความเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก โดยอาศัยการจดบันทึกช่วยวางแผนการลดน้ำหนัก รวมถึงช่วยให้คุณจัดการกับน้ำหนักส่วนเกินหลังประสบความสำเร็จอีกด้วย

ชั่งทุกวันให้เป็นกิจวัตร

ก่อนอื่นเราจะต้องมีอุปกรณ์ช่วยลดน้ำหนักประจำชนิดขาดไม่ได้เลย ก็คือ เครื่องชั่งน้ำหนักดิจิตอล (ย้ำว่าต้องเป็นดิจิตอลเท่านั้น)  และ ปฏิทินตั้งโต๊ะวางไว้ใกล้ๆ กัน สำหรับจดบันทึกน้ำหนักของวันนั้น

ว่ากันว่าเราควรชั่งน้ำหนักสัปดาห์ละครั้ง แต่จากประสบการณ์ของกลุ่มคนที่ลดน้ำหนักแล้วได้ผล เวลาหนึ่งสัปดาห์อาจมากเกินไป  เราใช้เวลา 1 สัปดาห์ลดน้ำหนักได้เฉลี่ย 0.6 - 1 กิโลกรัม  แต่หลังลดน้ำหนักและอยู่ในช่วงที่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย น้ำหนักอาจเพิ่มเป็น 1 - 2 กิโลกรัมโดยที่เราไม่รู้ตัว  ดังนั้น การชั่งน้ำหนักทุกวันหรือสองวันครั้ง และจดบันทึกในปฏิทินให้เห็นความเปลี่ยนแปลง จะช่วยให้คุณรู้ว่า วันนี้คุณควรจะทำอะไร เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเอง

สังเกตช่วงน้ำหนัก

การชั่งน้ำหนักที่ดี ไม่ใช่นึกจะชั่งเวลาไหนก็ชั่งได้ เวลาการชั่งน้ำหนักที่ดีที่สุดคือ ช่วงเช้าหลังทำธุระส่วนตัวเสร็จ คือเวลาที่ร่างกายได้ขับของเสียออกมาทั้งหมด จนเหลือแต่น้ำหนักตัวที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด เราถึงจดบันทึกตัวเลขน้ำหนักนั้นเอาไว้

เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ คุณจะสังเกตเห็นช่วงน้ำหนักเฉลี่ยในแต่ละวัน ซึ่งทำให้คุณรู้ว่า น้ำหนักคุณตอนนี้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นหรือลดลง

ต่อไปเมื่อทุกครั้งที่คุณชั่งน้ำหนัก คุณก็จะรู้ว่า นี่คือน้ำหนักที่ควรรีบลดเป็นการด่วน หรือเป็นช่วงน้ำหนักปกติไม่จำเป็นต้องกังวล จะช่วยให้คุณควบคุมน้ำหนักหลังการลด ให้อยู่กับคุณไปอีกนาน

ที่สำคัญ จะทำให้คุณรู้ธรรมชาติของตัวคุณเองว่า ในช่วงการใช้ชีวิตปกติหลังออกจากคอร์สลดน้ำหนัก ร่างกายคุณจะใช้เวลาแค่ไหนกว่าที่น้ำหนักจะขึ้น แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้น ควรจดบันทึกอาหารเมนูเด่นๆ ที่พอจำได้ในแต่ละวันลงไป จะช่วยให้เราเห็นภาพมากขึ้น ว่าอะไรที่คุณรับประทานแล้ว น้ำหนักขึ้นทันตาเห็น เพราะไม่ใช่ทุกคนที่งดแป้งแล้วจะผอม ไม่ใช่ทุกคนที่ลดของหวานแล้วเห็นผล ยังมีรูปแบบกิจวัตรประจำวันของแต่ละคน ที่ทำให้การเผาผลาญสารอาหารมากน้อยแตกต่างกันออกไปอีก  ดังนั้น คุณจึงไม่ต้องเสียเงินเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักราคาแพง เพียงแค่ขยันจดของความสั้นๆ ทุกวัน ว่าน้ำหนักเท่าไร รับประทานอะไรไปเมื่อวาน เท่านี้คุณก็จะมีรูปร่างที่ดี โดยไม่ต้องกลัวอ้วนอีกต่อไป

Wednesday, September 15, 2010

รับมือกับโรคออฟฟิศซินโดรม (OfficeSyndrome)

ใครว่าเป็นพนักงานประจำอยู่ออฟฟิศ นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นั้นแสนสบาย ไม่ต้องเสี่ยงกับภัยอันตรายใดๆ เท่ากับอาชีพอื่นๆ ที่ต้องทำงานแบกหามอยู่กลางแจ้ง เพราะเดี๋ยวนี้โรคภัยไวกว่าความเร็วอินเตอร์เน็ตเสียอีก ลุกลามไปได้ทุกวันทุกอาชีพนั่นแหละ ไม่เว้นแม้แต่พนักงานหน้าใสนั่งประจำออฟฟิศ ซึ่งโรคนี้มีชื่อเรียกว่า “โรคออฟฟิศซินโดรม

โรคออฟฟิศซินโดรม” เป็นกลุ่มอาการที่พบบ่อยในวัยทำงาน เกิดจากอิริยาบทที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นอาการที่ต้องนั่งทำงานตลอดเวลา ทำให้ร่างกายขาดการเคลื่อนไหว นั่งหลังค่อม เก้าอี้ไม่มีพนักพิง จึงไม่สามาถรองรับแผ่นหลัง การจัดวางของที่ทำให้หยิบจับลำบาก และการกดแป้นคีย์บอร์ดไม่มีตัวรองรับข้อมือ จะทำให้มีการกระดกข้อมือขึ้นลงซ้ำๆ ซึ่งเป็นผลเสียต่อสุขภาพ ซ้ำบางคนที่มีอาการของหมอนรองกระดูกเคลื่อนอยู่แล้ว หากทำงานในอิริยาบทที่ผิด จะทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้น  แถมยังมีเรื่องความเครียดในที่ทำงานอีก
แต่ไม่ต้องกลัว เพราะถ้าเรารู้จักการดูแลป้องกันตัวเองอย่างถูกวิธีในการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ ดรคออฟฟิศซินโดรมก็จะไม่ถามหาคุณอย่างแน่นอน

อาจารย์หยางเผยเซิน ผู้ก่อตั้งศูนย์ซี่กงเพื่อสุขภาพ กล่าวว่า อิริยาบทและสภาพแวดล้อมในที่ทำงานที่ไม่เหมาะสม จะส่งผลให้กล้ามเนื้ออักเสบและปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ เช่น หลัง ไหล่ บ่า แขน หรือข้อมือ  โดยเฉพาะการกระดกข้อมือขึ้นลงซ้ำๆ จากแป้นคีย์บอร์ดที่ไม่มีการรองรับข้อมือ จะส่งผลให้เกิดการอักเสบบริเวณเส้นเอ็น รวมทั้งเกิดสภาวะพังผืดหนา ทำให้เกิดอาการชาบริเวณนิ้วและข้อมือ  ส่วนความเครียดสะสม จะทำให้มีอาการปวดศีรษะหรือเป็นโรคเครียดได้ อาการที่กล่าวมามีศาสตร์แห่งการบำบัดโรคที่มีมาแต่โบราณวิธีหนึ่งคือ  “กัวชา” เป็นวิธีบำบัดโรคธรรมชาติแบบวิถีชาวบ้านตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเริ่มมีการเล่าขานถึงตั้งแต่ในยุคชุนซิวจั้นกั๋ว แต่ปรากฏหลักฐานในสมัยราชวงศ์หยวน ชื่อ “ตำรายอดนิยมของหมอกลางบ้าน” โดย เวยอี้หลิน ในราวปี ค.ศ. 1337  ต่อมาในยุตหลังจึงเริ่มบันทึกเป็นตำราทางศาสตร์กัวชา “กัวชาเป็นศาสตร์ที่เรียนรู้ได้ง่าย สะดวก เห็นผลเร็ว เพียงใช้อุปกรณ์ที่ทำจากธรรมชาติ มาวาดบนผิวหนังตามเส้นลมปราณทั่วร่างกายเพื่อบำบัดโรคและขับพิษออกจากร่างกาย จึงเป็นที่นิยนของชาวจีนมาอย่างยาวนาน”

การบำบัดด้วยกัวชา มีประสิทธิภาพในการขับพิษ เมื่อกัวชาเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายแข็งแรง  จุดเด่นของกัวชาออฟฟิศซินโดรมเพื่อบำบัดโรคต่างๆ  อาทิ แก้อาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ช่วยบรรเทาและบำบัดอาการปวดชาบริเวณ คอ ไหล่ หลัง บ่า แขน และข้อมือ  บำบัดอาการมือชา เท้าชา และนิ้วล็อก ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทำให้เลือดลมหมุนเวียนดี
นอกจากบำบัดแล้ว ยังมีวิธีป้องกันที่หนุ่มสาวชาวออฟฟิศสามารถทำได้เองง่ายๆ ไม่เสียเวลางานด้วย ซ้ำยังนั่งทำได้ที่หนาจอคอมพิวเตอร์ของคุณเอง  พร้อมแล้ว เริ่มกันเลย …

1. ยื่นแขนไปข้างหน้า กางนิ้วมือออก เกร็งไว้สักครู่ สลับกับกำมือ ประมาณ 10 ครั้ง
2. ท่าบริหารหลังส่วนบนและสะบัก  ประสานมือไว้ด้านหลังศีรษะ ศอกทั้งสองข้างและลำตัวส่วนบนตั้งตรง ดันศอกทั้งสองข้างออกไปด้านหลังตรงๆ จนรู้สึกตึงบริเวณหลังส่วนบนและสะบัก  ค้างไว้ประมาณ 8-10 วินาที ทำแบบนี้ 5-10ครั้ง
3. ท่าบริหารคอด้านข้าง  ตั้งศีรษะตรง เอียงศีรษะไปด้านซ้ายช้าๆ จนกระทั่งกล้ามเนื้อคอด้านข้างรู้สึกตึง ค้างไว้ประมาณ 10-20 วินาที  จากนั้นสลับไปทำด้านขวาแบบเดียวกัน ทำซ้ำข้างละ 2-3 ครั้ง
4. ตั้งศีรษะตรง หันหน้าไปทางหัวไหล่ด้านซ้าย จนกระทั่งคางเป็นแนวเดียวกับหัวไหล่ จนรู้สึกตึงที่ด้านข้างของคอด้านขวา ค้างไว้ 10-20 วินาที  จากนั้นสลับไปทำด้านขวาแบบเดียวกัน  ทำซ้ำข้างละ 2-3 ครั้ง  ท่านี้ช่วยบริหารคอด้านข้างเหมือนกัน
5. ท่าบริหารคอด้านหลัง  ก้มศีรษะจรดหน้าอกและให้รู้สึกตึงบริเวณคอด้านหลัง ค้างไว้ 5-10 วินาที ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง
6. ประสานมือและเหยียดแขนไปข้างหน้าจนรู้สึกตึงที่แขนและไหล่  ค้างไว้ประมาณ 20-30 วินาที ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง ท่านี้ช่วยบริหารแขนและไหล่ส่วนบน
7. ยกหัวไหล่ขึ้นไปจนจรดหู จนกระทั่งรู้สึกตึงที่คอและไหล่  ค้างไว้ประมาณ 3-5 วินาที  จากนั้นปล่อยไหล่ลงในท่าปกติ  ทำท่านี้ 2-3 ครั้ง จะเป็นการบริหารการเกร็งบริเวณหัวไหล่และคอ
8. ท่าบริหารหัวไหล่  ใช้มือซ้ายจับที่ข้อศอกขวา ดึงข้อศอกขวามาด้านซ้าย จนรู้สึกตึงที่หัวไหล่ขวา ค้างไว้ประมาณ 15-20 วินาที  จากนั้นสลับไปทำด้านซ้าย  ทำซ้ำข้างละ 2-3 ครั้ง
9. ท่าบริหารแขนและไหล่ส่วนล่าง  ประสานมือและเหยียดแขนขึ้นไปข้างบนจนตึง ค้างไว้ประมาณ 10-20 วินาที  ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง
  
ลองทำดูเพื่อสุขภาพที่ดีห่างไกลจากโรคออฟฟิศซินโดรม

ขอขอบคุณ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่  15 กันยายน 2553 สำหรับบทความนี้ค่ะ

Wednesday, September 8, 2010

เก้าอี้ยืนรักษาโรคได้จริง?


วันนี้น้ำใจมีท่าออกกำลังกายบริหารรักษาโรคแบบง่ายๆ สบายๆ มานำเสนอผู้อ่านค่ะ โดยจะเป็นกายบริหารบนเก้าอี้ยืน ซึ่งสามารถช่วยเรื่องโรคปวดหลัง ปวดเข่า ปวดเอว ปวดต้นคอ ไมเกรน ป้องกันอัมพฤษ อัมพาต ท้องผูก นิ้วล็อก แล้วช่วยยืดเส้นยืดสาย ยืดกระดูดได้
ใครมีเก้าอี้ยืนแล้ว ดูภาพประกอบการออกกำลังกายบนเก้าอี้มหัศจรรย์นี้ได้เลยค่ะ  ส่วนใครที่ยังไม่มีก็ลองหาซื้อมาใช้นะคะสนนราคาก็ประมาณ 350-450 บาทเท่านั้น  (หาเอาตามเว็บนะคะ น้ำใจไม่ได้ขายค่ะ แต่ถ้าใครหาไม่ได้จริงๆ ก็ลองส่งเมล์มา น้ำใจจะบอกให้ค่ะว่าซื้อได้จากที่ไหน)

สำหรับน้ำใจ ยังไม่เป็นโรคอะไรมาก แต่อยากออกกำลังกายกะเขาบ้าง ก็ได้ใช้เก้าอี้ยืนนี่แหละค่ะ เป็นเครื่องออกกำลังกายประจำบ้าน ทำวันละ 10-15 นาที ทำแล้วรู้สึกยืดเส้นดีค่ะ แต่สำหรับผู้ใหญ่ ในตอนแรกที่ฝึกก็อย่าหักโหมนะคะ เพราะคุณแม่ของน้ำใจ (อายุ 74 ปีแล้ว) ลองฝึกแล้ว ทำวันแรกฟิตจัด ยืนไป 15 นาที ปรากฎว่าปวดขาไปอีก 3 วัน บอกเข็ดไปเลย
เก้าอี้ยืนมี 2 ระดับ ให้เริ่มยืนในระดับที่ต่ำก่อน แล้วค่อยๆ ปรับระดับไปที่สูงขึ้น 

กรณีผู้ที่ฝึกครั้งแรก ควรหาที่จับเพื่อกันไม่ให้ล้มลงมา อาจเป็นตู้ โต๊ะ หรือเก้าอี้ที่แข็งแรงหน่อย  ถ้าเริ่มยืนแล้วตัวยังโอนเอนไปมา หรือก้นโด่ง ก็ให้ฝึกยืนจนตัวตรงให้ได้ก่อน แล้วค่อยออกท่าทางตามที่จะแนะนำต่อไปนี้นะคะ

ขั้นตอนการยืน
รูปที่ 1
ให้ถอดรองเท้า แล้วขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ยืน กางขาออกเล็กน้อย (ตามรูปที่ 1)  ในการออกกำลังกาย ให้ทำแต่ละท่าประมาณ 10-40 ครั้ง  ออกกำลังกายเช้า-เย็น ควรออกกำลังกาย 15-20 นาทีต่อครั้ง

ท่าการออกกำลังกาย

ท่าที่หนึ่ง การฝึกพื้นฐาน เพื่อเตรียมพร้อม 
รูปที่ 2

ให้ยืนตัวตรง(บนเก้าอี้ยืน) หายใจเข้าและออกช้าๆ ประมาณ 10 นาที

ท่าที่สอง ทำให้เลือดลมหมุนเวียนดีทั่วร่างกาย
รูปที่ 3

ให้ยกแขนไปข้างหน้า ทำมุม 35 องศา แล้วเหวี่ยงแขนไปข้างหลัง กลับไปกลับมา 10 ครั้ง

ท่าที่สาม แก้นิ้วล็อก
รูปที่ 4

ให้ยกแขนไปข้างหน้า กางนิ้วออกทุกนิ้ว สลัดนิ้ว 10 ครั้ง

ท่าที่สี่ ท่านกบิน แก้ปวดบ่า ปวดไหล่
รูปที่ 5

ให้กางแขนออก แล้วยกแขนขึ้นข้างต้ว ปลายนิ้วแตะเหนือศีรษะ ทำขึ้นลง 10 ครั้ง

ท่าที่ห้า  แก้ปวดต้นคอ ตกหมอน
รูปที่ 6

ให้ยกไหล่ แล้วเอียงคอไปทางซ้ายที ขวาที ข้างล่ะ 10 ครั้ง

ท่าที่หก แก้ปวดหลัง
รูปที่ 7

ให้กำมือทั้งสองข้าง แล้วเอาไปไว้ข้างหลังตรงระดับเอว แล้วบิดตัวไปซ้ายที ขวาที ข้างละ 10 ครั้ง

ท่าที่เจ็ด ท่าอุ้มแตงโม แก้ปวดเอว ปวดหลัง
รูปที่ 8

ให้มือซ้ายตั้งฉากกับลำตัวอยู่ในระดับเอว มือขวาอยู่ระดับอก  แล้วบิดตัวสลับไปทางซ้ายขวา พร้อมกับสลับมือไปด้วย  เมื่อบิดไปทางซ้ายให้มือขวาอยู่บน เมื่อบิดไปทางขวาให้มือซ้ายอยู่บน  ทำข้างละ 10 ครั้ง

ท่าที่แปด ท่ายิงปืน บริหารสายตา
รูปที่ 9

ให้ยกมือขวาขึ้น ยืนตัวตรง สายตามองตามมือที่หมุนซ้าย จากนั้นหมุนกลับ แล้วยกมือซ้ายขึ้น สายตามองตามมือที่หมุนขวา ทำสลับไปมาซ้ายขวา 10 ครั้ง

----
ท่าการออกกำลังกายบนเก้าอี้ยืนก็มีทั้งหมดเท่านี้ค่ะ ถ้าเพื่อนๆ คนไหนมีท่าออกกำลังกายบนเก้าอี้ยืนอื่นๆ อีก ที่จะช่วยรักษาโรคต่างๆ ได้ ก็คอมเม้นท์เข้ามานะคะ

ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงนะคะ

Thursday, September 2, 2010

ปิรามิดอาหารสำหรับคนวัยผู้ใหญ่และคนวัยทอง

ปิรามิดอาหารวัยทอง เป็นวิธีสื่อให้เข้าใจง่าย ว่าวันหนึ่งคนวัยทองควรจะรับประทานอะไรมาก อะไรน้อย ส่วนที่ควรรับประทานมากที่สุดจะอยู่ที่ฐานของปิรามิด ส่วนที่ควรรับประทานน้อยที่สุดจะอยู่ที่ยอดของปิรามิด โดยบอกจำนวนที่ควรรับประทานเป็นกี่ “ ที่ ” ของอาหารแต่ละชนิด

จะเห็นว่าฐานล่างสุดของปิรามิดซึ่งสำคัญที่สุดนั้นไม่ใช่อาหาร แต่เป็นน้ำ ซึ่งคนวัยทองควรดื่มวันละประมาณ 8 แก้ว เพราะเรื่องใหญ่ที่สุดก็คือคนวัยทองมักเผลอคือลืมดื่มน้ำ ทำให้ท้องผูก บางครั้งก็ทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ไตเสื่อมเร็ว เป็นการทำตัวเองให้เป็นโรคไตเรื้อรังโดยไม่ได้ตั้งใจ

ถัดขึ้นไป คืออาหารที่รับประทานได้มาก เป็นอาหารคาร์โบไฮเดรตพวกให้พลังงาน เช่น ข้าวและเมล็ดธัญพืชต่างๆ แนะนำให้รับประทานได้ถึงวันละ 6 ที่ คือถ้าเป็นขนมปังก็ 6 แผ่น ถ้าเป็นข้าวก็ประมาณ 3 ถ้วยตวงหรือ 3 จานขนาดไม่ใหญ่นัก

ถัดขึ้นไปเป็นอาหารวิตามินและเกลือแร่ แบ่งเป็นสองซีก ซีกซ้ายเป็นผักต่างๆ ซึ่งแนะนำให้รับประทานวันละ 3 ที่หรือเทียบได้กับสลัด 3 จานเลยทีเดียว ซีกขวาเป็นผลไม้ แนะนำให้รับประทานวันละอย่างน้อย 2 ที่ เทียบได้กับผลไม้ขนาดเขื่อง เช่น แอปเปิ้ล กล้วย วันละสองผล การรับประทานผักและผลไม้มากมีคุณอนันต์ ช่วยลดการเกิดอัมพฤกษ์อัมพาต ลดการเป็นโรคหัวใจหลอดเลือด และอาจช่วยลดโอกาสเป็นเบาหวานได้อีกด้วย

ชั้นถัดขึ้นไปอีกเป็นอาหารโปรตีน แบ่งเป็นสองซีก ซีกซ้ายเป็นอาหารนม ชีส และโยเกิร์ต แนะนำให้ดื่มวันละ 3 ที่ เทียบได้กับนมวันละสามแก้ว ส่วนซีกขวาเป็นอาหารโปรตีนจากปลา ถั่ว และเนื้อ แนะนำให้รับประทานวันละสองที่ เทียบได้กับปลาทูสองตัว หรือไข่ทอดสองฟอง หรือเนื้อสะเต๊กประมาณหนึ่งแผ่น

ชั้นบนสุดเป็นส่วนที่ควรรับประทานแต่น้อย แบ่งเป็นสองซีก ซีกซ้ายคือไขมัน น้ำมัน น้ำตาล ซึ่งควรรับประทานให้น้อยที่สุด ส่วนซีกขวาคือวิตามินและแร่ธาติเสริมเช่น แคลเซียม วิตามินดี วิตามินบี 12 ซึ่งเป็นสิ่งมีประโยชน์สำหรับคนวัยทอง

อ้างอิง: Health.Co.Th Journal 2010:2:2-2.

ปัญหาของ "การกิน" ฉบับฉีกั๋วลิ

พวกเราล้วนรู้ดีว่า อนุสาวรีย์รูปกรวยสี่เหลี่ยม "เจดีย์ปิระมิดทองคำ" เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดในทวีปเอเซียของเรา

ปิระมิดทองคำของตัวเราคืออะไร
คำตอบคือ ธัญพืชจำพวกข้าว, ถั่ว, ผัก, ข้าว, ถั่ว

ดีจริงๆ ในสมัยที่ได้ประุชุมกันที่เมืองซานฟรานซิสโก มีนายแพทย์หลายท่านในต่างแดนต่างพูดเสียงเดียวกันว่า คนจีนเดี๋ยวนี้ไม่นิยมกินข้าว, ถั่ว, ผักแล้ว เพราะได้หันไปกินผลิตภัณฑ์ของนอกแฮมเบอร์เกอร์เรียบร้อย

ข้าพเจ้ากลับเมืองจีนได้เข้าไปในร้านขายอาหารแม็คโดนัลด์ ถูกวัยรุ่นเบียดออกมาจากร้าน คนเยอะจริงๆ แต่เมืองนอกไม่เคยมีเหตุการณ์เยี่ยงนี้ พวกเราเยาวชนเมื่อถึงวันเกิดมักเข้าไปเฉลิมฉลองงานวันเกิดในร้านแม็คโดนัลด์กันทั้งนั้น ข้าพเจ้ามีความเลื่อมใสท่านแม็คโดนัลด์ เขาได้นำเงินออกนอกประเทศปีละ 20 กว่าล้านเหรียญ พวกเขาทำการค้าได้เก่งจริงๆ อาศัยสิ่งที่ข้าพเจ้ายึดถืออยู่นั้น

สาเหตุที่พวกเราบอกว่ามันเป็นอาหารขยะ ก็เพราะมันเป็นอาหารประเภทปลุกเร้า กระตุ้นให้บังเกิดความอยากในการกิน ผลที่ออกมาก็คือ อ้วนท้วนสมบูรณ์ ทั้งข้างบนและข้างล่าง เหมือนม้วนสัมภาระเดินทาง

พวกเขาไม่กินกัน เพราะกินแล้วต้องไปลดความอ้วน

พวกเราไม่มีความรู้ ทุกวันเข้าไปกินแม็คโดนัลด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนรุ่นที่ 2 ปราศจากแม็คโดนัลด์แล้วอยู่ไม่ได้

พวกเราสมควรที่จะต้องรับรู้ว่ามันคืออาหารประเภทปลุกเร้ากระตุ้นให้เราอยากกิน มันไม่เหมาะสำหรับความเป็นอยู่ของเรา รวมไปถึงความเคยชินของพวกเราด้วย


ข้าวโพด เปรียบเสมือนทองคำ

คณะแพทย์ของอเมริกา ได้ทำการสำรวจคนอเมริกาสมัยต้นๆ ชาวอินเีดียนแดงไม่ปรากฏว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง, ไม่มีปัญหาเรื่องเส้นโลหิตแดงแข็งตัว

แท้จริงคือเป็น สาเหตุที่พวกเขาชอบกินข้าวโพดนี่เอง

ต่อมาได้ค้นพบว่า ภายในข้าวโพด อุดมไปด้วย ไขมันลอริน, กรดอาหยิว, หัวยอดข้าว, วิตามินอี ดังนั้นจึงทำให้ไม่มีความดันโลหิตสูงและไม่มีปัญหาเรื่องเส้นโลหิตแดงแข็งตัว

ตั้งแต่นั้นมาอเมริกาเปลี่ยนแปลงทันที, ทวีปอเมริกา, ทวีปแอฟริกา, ทวีปยุโรป ประเทศญี่ปุ่น, ฮ่องกง เมืองกวางโจวของจีน ตอนเช้าๆ ล้วนนิยมกินซุบข้าวโพดกันแล้ว

เดี๋ยวนี้มีผู้คนมากมายนิยมกินไขมันลอริน ทำไมหรือ?
เพราะไม่ต้องการให้เส้นโลหิตแดงเกิดการแข็งตัว แต่พวกเขาต่างก็ยังไม่รู้ว่าภายในข้าวโพด อุดมมากที่สุด ไม่ต้องไม่เสียเงินแพงๆ ซื้อหา

สมัยที่ข้าพเจ้าอยู่อเมริกาได้ทำการตรวจสอบ ข้าวโพด 1 ฝัก ขาย 2.5 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐ แต่ข้าวโพดขายในเมืองจีน ฝักละ 1 เหรียญของจีน ห่างกันถึง 16 เท่า แต่ว่าพวกเราส่วนใหญ่ไม่รู้และไม่นิยมกินข้าวโพด จากการสำรวจครั้งที่ผ่านมา ข้าพเจ้าตั้งใจปรับเปลี่ยนทันที อยู่ที่ประเทศอเมริกา ข้าพเจ้ายืนหยัดมาเป็นเวลา 6 ปีแล้ว ทุกวันดื่มกินโจ๊กข้าวโพด ปีนี้ข้าพเจ้าอายุ 70 กว่าปีแล้ว มีกำลังกายสมบูรณ์ กระปรี้กระเปร่า น้ำเสียงที่ออกจากลำคอก้องกังวาน พลังลมปราณเหลือเฟือ และบนใบหน้ายังไม่พบเห็นรอยเหี่ยวย่นเลย นี่คือผลจากการดื่มโจ๊กข้าวโพด เชื่อหรือไม่แล้วแต่ท่าน พวกท่านดื่มน้ำนมวัวของท่าน แต่ข้าพเจ้านิยมดื่มกินโจ๊กข้าวโพด คอยดูต่อไปว่าใครจะมีอายุยืนมากกว่ากัน

เดี๋ยวนี้คนเราล้วนมี "ความสูง 3 อย่างที่น่ากลัว"
คือ ความดันโลหิตสูง, ไขมันในโลหิตสูง และ น้ำตาลในเส้นเลือดสูง

ข้าวสาลี มีสรรพคุณลดความสูง 3 อย่างที่ยอดเยี่ยม

มันช่วยลดความดันโลหิตสูง, ลดไขมันในเส้นเลือดที่สูง และลดปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดได้ด้วย

ข้าพเจ้าเคยถามนักศึกษาในมหาวิทยาลัยปักกิ่งว่าเคยรู้จักข้าวสาลีหรือไม่

ล้วนแต่ตอบว่าไม่รู้จัก รู้จักแต่แฮมเบอร์เกอร์

ภายในข้าวสาลีประกอบด้วยเซลลูโลส 18% ผู้ที่กินข้าวสาลีจะไม่เป็นโรคมะเร็งในลำไส้, มะเร็งลำไส้ตรง, มะเร็งลำไส้ใหญ่ตอนกลาง เป็นต้น พวกเราผู้ที่ทำงานในห้องสำนักงานมีร้อยละ 20 มักจะป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ตรง และ มะเร็งกระเพาะอาหาร


มันสีขาว, มันสีแดง, มันสำปะหลัง, มันฝรั่ง

อาหารเหล่านี้ได้ถูกกล่าวถึงในที่ประชุมนานาชาติ ทำไมหรือ?

เพราะมันมีสรรพคุณในการดูดซับ 3 ประการ คือ  ดูดซับน้ำ, ดูดซับไขมันและน้ำตาล และ ดูดซับสารพิษ

ดูดซับน้ำ ทำให้ทางเดินอาหารได้รับการหล่อลื่น ทำให้เราไม่เป็นโรคมะเร็งลำไส้, มะเร็งลำไส้ตอนกลาง 
ดูดซับไขมันและน้ำตาล ทำให้เราไม่เป็นโรคเบาหวาน
ดูดซับสารพิษ ทำให้ไม่เป็นมะเร็งทางเดินอาหาร

ข้าวโอ๊ต (Oats) เมืองนอกเขารู้จักนานแล้ว ชาวจีนจำนวนมากยังไม่รู้จัก

ถ้าท่านเป็นโรคความดันโลหิตสูง ท่านจะต้องกินข้าวโอ๊ต ข้าวต้ม ขนมแผ่นๆ ที่ทำจากข้าวโอ๊ต เพราะข้าวโอ๊ตมีสรรพคุณในการ ลดปริมาณของไขมันในเส้นเลือด ลดความดันโลหิต ลดไตรกลีเซอไรด์ ส่งผลทำให้ไขมันในเส้นเลือดลดน้อยลงไปได้

ข้าวฟ่าง หรือ ข้าวเจ้าเม็ดเล็ก 

หนังสือตำราสุมนไพรบันทึกไว้ชัดเจนว่า

ข้าวสาร "ข้าวเจ้าเม็ดเล็ก" นอกจากสามารถดูดซับความชื้นแล้ว ยังมีสรรพคุณในการบำรุงม้ามด้วย ทำให้บังเกิดความสงบและนอนหลับสบายด้วย

มีประโยชน์มากมายเช่นนี้ ทำไมท่านไม่กินล่ะ ขอให้รับรู้ไว้ด้วยว่าพนักงานออฟฟิซ จำนวนมากในสมัยปัจจุบัน มักมีอาการเป็นโรคนอนไม่หลับ, มีอาการซึมเศร้า, สภาวะทางจิตไม่ดี ต้องพึ่งยานอนหลับ

ข้าพเจ้าได้แนะนำไปว่า อย่าไปกินยานอนหลับ ให้หันมากินโจ๊กข้าวเม็ดเล็กๆ ดีกว่า ผลออกมาเป็นอย่างไรหรือ ผู้ป่วยได้ไปดื่มกินโจ๊กข้าวเจ้าเม็ดเล็กๆ 1 ถ้วย แล้วมาบอกข้าพเจ้าว่าดื่มกินแล้วทำไมยังนอนไม่หลับ ใครบ้างเล่าที่จะให้ท่านดื่มกินแค่ถ้วยเดียว ยาเสพติดเท่านั้นที่จะออกฤทธิ์เร็วอย่างนั้น

ข้าพเจ้าได้ไปตรวจสอบในชนบท พวกผู้เฒ่าในชนบทไม่มีใครที่จะมีอาการนอนไม่หลับเลย เมื่อหัวถึงหมอนก็นอนหลับอย่างสบาย ข้าพเจ้าได้ทำการสังเกตอย่างละเอียด พวกเขานิยมกินข้าวต้มที่ทำมาจากข้าวสารเม็ดเล็กๆ ดังนั้น เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าได้ปรับเปลี่ยนอาหารการกินของตัวเอง ตอนเช้ากินโจ๊กข้าวโพดหนึ่งถ้วย จิตใจเบิกบาน ตอนเย็นกินโจ๊กข้าวสวยหนึ่งถ้วย นอนหลับสบาย ท่านว่าดีไหมครับ

พวกเราต้องทำความเข้าใจ อาหารคือยา ยาคืออาหาร
เป็นคำพูดของนักปราชญ์ "หลี่สือเจิน" หนังสือตำราสมุนไพรที่ท่านเขียนนั้น ล้วนเป็นอาหารทั้งสิ้น พวกเราทำไมไม่กินอาหารแทนยา จำเป็นต้องกินยาด้วยหรือ

ยาสิบขนานเป็นพิษ 9 ส่วน

ยังไม่เคยได้ยินว่ากินยาแล้ว สามารถรักษาสุขภาพแข็งแรงได้เลย ท่านฉินซีฮ่องเต้ทำไม่ได้, ราชาฮ่านอู่ตี้ก็ทำไม่ได้ ท่านก็ทำไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าขอออกตัวไว้ก่อน ข้าพเจ้าไม่ได้ต่อต้านการกินยา ผู้ต่อต้านการกินยาคือ คุณหลี่หงจื๊อแห่งลัทธิ "ฟ่าหลุนกง"

ข้าพเจ้าต่อต้านการกินยาแบบไม่ได้คิด "กินไม่เป็น" ข้าพเจ้ายึดหลักการกินยา 3 ข้อ คือ กินยาในระยะสั้นๆ, กินยาที่ไม่ทำให้ร่างกายทรุดลง และ หยุดกินยาให้เร็วที่สุด

หลัก 3 ประการเพื่อสุขภาพที่ดี ฉบับอาจาย์ฉีกั๋วลิ

เนื้อหาที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นเนื้อหาจากหนังสือ "รักษ์ชีวิตสุขภาพแข็งแรง" ซึ่งเป็นเอกสารบันทึกการบรรยาย เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2546 ณ. เมืองปักกิ่ง โดยอาจารย์ ฉีกั๋วลิ อดีตกรรมการเสริมสร้างอนามัยแห่งโลก อาจารย์คณะเสริมสร้างสุขภาพ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา

หนังสือเล่มนี้แปลจากต้นฉบับภาษาจีน โดยคำสั่งของประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูซันอินดัสเตรียล จำกัด (นายนำสิน ไหลสาธิต) ซึ่งมีความปรารถนาที่จะให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี เป็นวิทยาทาน เนื้อหานี้หากเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทาน ไม่มีการเรียกร้องค่าตอบแทน แต่ถ้าทำเพื่อจำหน่ายหรือมีการตอบแทน ขอสงวนสิทธิ์

----------------------------------
ขอขอบคุณ ว่าที่ รต.ทรงศักดิ์ อัมพรวิวัฒน์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาบุคลากร บริษัท ฟูซัน อินดัสเตรียล จำกัด ที่กรุณานำเนื้อหานี้มาเผยแพร่ให้พวกเราผู้รักสุขภาพได้อ่านกัน
----------------------------------

ในบทแรก อาจาย์ฉีกั๋วลิ กล่าวถึงการดำรงชีวิตของมนุษย์ จะต้องยึดหลัก 3 ข้อ ดังนี้คือ

หลักข้อที่ 1 การดื่มกินที่อยู่ในสภาพสมดุล
หลักข้อที่ 2 การออกกำลังกายที่มีก๊าซออกซิเจน
หลักข้อที่ 3 สภาวะที่ปรากฏทางจิตภายใน

ถ้าสามารถยึดหลักทั้งสามข้อนี้ได้ ก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดี และมีอายุยืนยาวขึ้น

Monday, August 30, 2010

ดื่มชาป้องกันมะเร็งรังไข่

คุณสุภาพทั้งหลาย ได้อ่านแล้วโปรดทราบ คุณผู้หญิงควรจะดื่มชา ไม่ว่าจะเป็นชาเขียวหรือชาดำเป็นประจำ วันละ 1–2 ถ้วย จะช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเป็นมะเร็งรังไข่ได้ 50% หรือมากกว่านั้น

นักวิจัยมหาวิทยาลัยแห่งวอชิงตัน ของสหรัฐฯ สังเกตพบจากการศึกษากับผู้หญิง 2,000 คน ว่า สามารถหนีห่างโรคมะเร็งรังไข่ได้ร้อยละ 54 เพืียงการดื่มชาเขียวประจำวันละ 1-2 ถ้วย

ขณะที่สถาบันการแพทย์สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ก็ศึกษาพบว่า สตรีที่ดื่มชาดำวันละอย่างต่ำ 2 ถ้วย จะลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งรังไข่ ลงได้เกือบร้อยละ 50

จากการศึกษาทั้งสองแห่ง ได้ยืนยันสรรพคุณของชาดำและชาเขียวในการป้องกันมะเร็ง นอกจากที่เคยสังเกตพบว่า ช่วยบำรุงหัวใจ สมองและลดปริมาณไขมันเลวในเลือดลงได้

Thursday, August 26, 2010

รักษามะเร็งไข่ด้วย "ขิง"

รายงานจากการประชุมของสมาคมการวิจัยโรคมะเร็งแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาล่าสุดพบว่า พืชพื้นเมืองไทยอย่างขิง มีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งได้ เตรียมวิจัยทำยารักษามะเร็งไข่

         นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกาเชื่อว่าขิงสามารถช่วยรักษาโรคมะเร็งรังไข่ได้ สมทบโดยนักวิจัยจากประเทศอังกฤษ ซึ่งเชื่อว่าขิงอาจเป็นรูปแบบใหม่ของยาในอนาคตหากได้รับการวิจัยอย่างจริงจัง

          รีเบคก้า ลิว (Rebecca Liu) ผู้รายงานการวิจัยครั้งนี้ได้นำเสนอผลการทดลองใช้ขิงผงสำเร็จรูปที่วางขายในร้านทั่วไป ละลายในสาระลายแล้วทดสอบกับเซลล์มะเร็งรังไข่ พบว่าฤทธิ์ของขิงทำให้เซลล์มะเร็งรังไข่ตาย และความเผ็ดร้อนของขิงยังช่วยไม่ให้เซลล์ต่อต้านการรักษาอีกด้วย

          การฆ่าเซลล์มะเร็งนั้นทำได้ 2 รูปแบบ คือวิธีการทำให้เซลล์ส่งสัญญาณมาทำลายตัวเอง (apoptosis) และวิธีการที่ทำให้เซลล์ทำลายตัวเอง (autophagy) การรักษาด้วยเคมีบำบัดเป็นขบวนการฆ่าเซลล์แบบ  apoptosis ส่วนการทำงานของขิงนั้นเกิดขึ้นในรูปแบบของ autophagy ซึ่งเป็นแนวทางที่คาดหมายว่าจะลดการดื้อต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัดของเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย

         ก่อนหน้านี้ศูนย์วิจัยโรคมะเร็ง ในประเทศอังกฤษ ก็เคยพบว่าสารสกัดจากขิงสามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ เจ้าหน้าที่ด้านข้อมูลวิทยาศาสตร์ เฮนรี่ สควอครอฟท์ (Henry Scowcroft) กล่าวยืนยันผลการทดลองครั้งนี้ แต่อย่างไรก็ตามนักวิจัยทั้งสองท่านได้แสดงทัศนะว่า งานวิจัยครั้งนี้เป็นเพียงการทดสอบเบื้องต้น และเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบประสิทธิภาพการทำงานของขิงเท่านั้น ยังคงต้องมีการค้นคว้าวิจัยอีกมาก ก่อนที่จะยืนยันผลการทดลอง และกว่าที่จะค้นหาสารออกฤทธิ์ในขิงเพื่อสกัดออกมาเป็นยา ยังคงต้องผ่านกระบวนการวิจัยอีกหลายขั้นตอน

         ในประเทศไทยเองก็มีการศึกษาวิจัยฤทธิ์ของขิงในการฆ่ามะเร็งเช่นกัน โดยหวังว่าพืชพื้นเมืองอย่างขิง จะเป็นความหวังใหม่ในการรักษามะเร็งรังไข่ในอนาคต

         ปัจจุบัน ขิง ได้รับการยอมรับว่าสามารถแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน และป้องกันการเมารถ เมาเรือได้ มีการนำขิงบรรจุแคปซูลเพื่อสะดวกต่อการรับประทาน และใช้กินเพื่อป้องกันการเมารถ ยาจีนหลายขนานก็มีขิงเป็นส่วนประกอบ และคนจีนก็ได้ใช้ประโยชน์จากขิงมานับพันปีแล้ว

         การแข่งขันด้านการวิจัยสรรพคุณของสมุนไพรเป็นไปอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยขึ้นชื่อว่ามีสมุนไพรจำนวนมากและหลากหลาย หากได้มีการวิจัยอย่างจริงจัง เพื่อหาทางสกัดยาจากสมุนไพรโดยผ่านกระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ โอกาสการค้นเจอทางออกจากโรคร้ายคงมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้

จาก นิตยสาร ใกล้หมอ ปีที่ 31 ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม 2550