Thursday, November 7, 2013

8 เคล็ดลับเลี่ยงการใช้ยาโดยไม่จำเป็น


วิธีดูแลตัวเองง่าย ๆ ต่อไปนี้อาจช่วยให้คุณมีสุขภาพดีกว่าการใช้ยาเสียอีก

1.ไอ

แทนที่จะใช้ยาน้ำแก้ไอ ลองกินน้ำผึ้ง

ลองใช้น้ำผึ้งจากบัควีท ซึ่งมีสีเข้มกว่าและมีสารด้านอนุมูลอิสระมากกว่าชนิดใส (นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารด้านอนุมูลอิสระมีสรรพคุณป้องกันโรคหัวใจและ มะเร็ง) จิบครั้งละสองช้อนชา เมื่อต้องการระงับอาการไอ เช่น ก่อนนอนหรือก่อนเข้าห้องประชุม ไม่จำเป็นต้องระงับอาการไอจนหยุดสนิท การไอชนิดนี้มีเสมหะช่วงกลางวัน จึงมีประโยชน์ในการขับเสมหะออกจากปอด

2.ปวดหลัง

แทนที่จะใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์หรือพาราเซตามอล ลองฝึกโยคะ

อาสาสมัครในการศึกษาได้ฝึกโยคะนาน 75 นาที สัปดาห์ละครั้ง โดยฝึกท่างูเห่า ท่ากงล้อ ท่าสะพานโค้ง ท่าผีเสื้อ และท่านักรบ เป็นหลัก ดร.คาเรน เชอร์แมน นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันวิจัยสุขภาพในซีแอตเทิล กล่าวว่า ท่าโยคะ เหล่านี้นอกจากจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นแล้ว ยังช่วยให้คุณเพิ่มความระมัดระวังในการเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งเป็นการป้องกันมีให้เสี่ยงต่ออาการปวดหลังซ้ำอีกครั้ง

3.ปวดศีรษะเป็นประจำ

แทนที่จะใช้ยาแก้ปวด ลองกินยาน้อยลง และนอนหลับมากขึ้น

หมอโกดส์บายแนะนำให้หลีกเลี่ยงยาที่ประกอบด้วยตัวยาหลายประเภท รวมทั้งพยายามใช้ยาแก้ปวดให้น้อยที่สุด แต่ไม่ควรทนปวดนานเกินหนึ่งสัปดาห์ ขั้นต่อมาคือการรักษาอาการปวดด้วยการนอนหลับ คุณหมอเพิ่มเติมว่า สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดศีรษะเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ วิธีปฏิบัติคือฝึกนอนหลับตามเวลาที่กำหนดไว้ วิธีนี้จะช่วยให้อาการปวดศีรษะของคุณค่อยๆ บรรเทาลงได้

4.ซึมเศร้า

แทนที่จะกินยาต้านซึมเศร้า ลองใช้วิธีฝึกฝนสมอง

ลองบำบัดกระบวนความคิดโดยใช้สติ เช่น “การกำหนดลมหายใจภายใน 3 นาที” เป็นวิธีที่ดีสำหรับหยุดยั้งความคิดด้านลบที่วนเวียนอยู่ในหัว วิธีปฏิบัติให้เริ่มด้วยกันตระหนักรู้ถึงความรู้สึกของร่างกายที่เกิดขึ้น อยู่ในขณะนี้ จากนั้นพยายามเบนความสนใจให้เพ่งอยู่กับลมหายใจ ณ ปัจจุบัน ในที่สุดสติและความคิดทั้งหมดของคุณจะกลับมาจอจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า-ออก

5.นอนไม่หลับ

แทนที่จะกินยานอนหลับ ลองนอนดึกบ้างในบางคืน

หากคุณเข้านอนเป็นประจำเวลา 4 ทุ่ม แต่นอนไม่หลับจนต้องพลิกไปมาถึงตี 1 ให้ลองเปลี่ยนเป็นเริ่มนอนเวลาตี 1 และตื่นเช้าในเวลาเดิม หมอริทเทอร์แบนด์บอกว่า “ดูเหมือนว่าวิธีนี้อาจทำให้คุณมีเวลานอนลดน้อยลง แต่มันจะทำให้คุณหลับง่าย และสนิทขึ้นในคืนถัดไป” หลังจากใช้วิธีนี้ประมาณสองหรือสามสัปดาห์ ลองเลื่อนเวลาเข้านอนให้เร็วขึ้นครั้งละ 20 นาที แล้วสังเกตความเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ เพื่อปรับเวลานอนให้กลับมาเป็นเช่นเดิม


6.ท้องผูก

แทนที่จะกินยาระบาย ลองหันมาพึ่งน้ำ

ด้วยการดื่มน้ำสองแก้วเต็มก่อนอาหารเช้า เพื่อเพิ่มน้ำในลำไส้ใหญ่ ทำให้อุจจาระพองตัวและขับถ่ายออกได้ง่าย การกินกล้วยหรือแอปเปิ้ล ช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้เช่นกัน “กากใยจากผลไม้เหล่านี้ทำให้อุจจาระพองตัวและกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวเป็น จังหวะได้ดี” นพ.อะบรามสันกล่าว “ยาระบายหลายชนิดมีฤทธิ์ระคายเคืองลำไส้ คุณสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ได้ด้วยการกินผลไม้แทน”

7.โรคหอบหืดและภูมิแพ้

แทนที่จะกินยาเป็นประจำ ลองใช้เครื่องกรองอากาศ

การติดตั้งแผ่นกรองอากาศให้กับระบบปรับอากาศทั้งบ้านมีค่าใช้จ่ายค่อนข้าง สูง ประมาณ 27,000 ถึง 36,000 บาท คุณอาจลองซื้อเครื่องฟอกอากาศที่มีไส้กรองเฮปา (Hepa) มาวางในห้องนอนของคุณ ซึ่งเป็นห้องที่คุณใช้เวลาอยู่นานที่สุด สนนราคาโดยเฉลี่ยไม่เกิน 4,000 บาท แต่ประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการใช้งานในห้องเดียว

8.ไข้หวัดใหญ่

แทนที่จะกินยาต้านไวรัส ลองเพิ่มความชื้นในบ้าน

ในช่วงที่มีไข้หวัดใหญ่ระบาด ไมแอตต์แนะนำให้วางเครื่องทำความชื้นไว้ในห้อง นอนตั้งระดับความขึ้นที่ร้อยละ 50 รุ่นที่คุณภาพสูงอาจมีรังสียูวี หรือไส้กรองพิเศษที่ช่วยกำจัดเชื้อโรค ประโยชน์อีก ข้อหนึ่งที่คุณจะได้รับก็คือ ผิวพรรณชุ่มชื้นไม่แห้งเป็นขุย

แปลและเรียบเรียงโดย นพ.กิจจา ฤดีขจร

Friday, November 1, 2013

อ้วน-กลม-หนา เพราะชานมไข่มุก


เวลาไปเดินตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ในเมืองไทย หมอจะสังเกตเห็นร้านสองประเภทกระจายตัวอยู่แทบทุกชั้นทุกมุมของห้าง หนึ่งคือร้านขายกาแฟ สองคือร้านขายชานมไข่มุก จนชวนให้คิดว่า คนไทยเรานี่ขี้เซาน่าดู ต้องปลุกตัวเองด้วยคาเฟอีนและน้ำตาลกันตลอดเวลาทุกเพศทุกวัย

การบุกตลาดของชานมไข่มุกในเมืองไทยมีมาหลายปีแล้ว สูตรต่างๆ รูปแบบแก้วและแบรนด์ที่ขายดีเปลี่ยนไปบ้างในแต่ละปี แต่ส่วนประกอบหลักคือ ชา ครีมเทียม น้ำตาล และไข่มุก ไม่เปลี่ยนแปลง การที่ชานมไข่มุกฮ็อทฮิตมากนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาติ แต่มีหลักการทางวิทยาศาสตร์อธิบายได้ด้วย เพราะชานมไข่มุกเป็นเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและไขมันสูง ซึ่งสมองของคนเรานั้น หากถูกอาหารใดกระตุ้นด้วยความหวาน ความมัน หรือ ความเค็ม สมองจะชอบใจในอาหารนั้นๆ และเข้าใจไปว่าอาหารนั้นอร่อย อยากจะหามารับประทานบ่อยๆ ยิ่งถ้ามีคาเฟอีนจากชาผสมอยู่ด้วย ก็จะยิ่งทำให้สมองติดใจได้ง่ายขึ้นไปอีก

นอกจากความหวาน ความมัน และคาเฟอีนในชานมไข่มุกที่เล่นกลหลอกให้สมองเราติดใจแล้ว การนำเสนอที่ชวนให้เราคิดว่า ชานมไข่มุกเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ก็ยิ่งเป็นการสับขาหลอกให้คนที่อยากลดน้ำหนักเลือกรับประทาน หลายคนเลือกที่จะดื่มชานมไข่มุกแทนอาหาร เพราะคิดว่าจะช่วยลดน้ำหนัก แต่แท้จริงแล้ว รับประทานเกาเหลาไปทั้งชามยังอ้วนน้อยกว่าเสียอีก!

แคลอรี่ในชานมไข่มุกแต่ละแก้วนั้นต่างกันไป หลากหลายตั้งแต่ 200 ไปจนถึง 400 กิโลแคลอรี่ ที่เด็ดคือปริมาณน้ำตาลซึ่งหนักข้อตั้งแต่ 8 ไปจนถึง 11 ช้อนชาต่อแก้ว (โดยทั่วไป ในหนึ่งวัน เราไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกินกว่า 6 ช้อนชาในผู้หญิง และ 9 ช้อนชาในผู้ชาย) ปริมาณไขมันอิ่มตัวจากนมที่ใส่ร่วมไปก็ไม่น้อย หลายสูตรใส่เป็นครีมเทียมซึ่งมีไขมันทรานส์ ไขมันทรานส์เป็นไขมันที่อันตรายต่อสุขภาพยิ่งกว่าไขมันใดๆ เพราะนอกจากจะเพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจแล้ว ยังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งอีกด้วย

สำหรับตัวไข่มุกนั้น จริงๆควรเรียกว่า แป้งเม็ด มากกว่า เพราะทำจากมันสำปะหลังต้มกับน้ำตาล แคลอรี่ต่างกันไปตามแต่ละสูตรตั้งแต่ 2 - 4 กิโลแคลอรี่ต่อเม็ด ไม่มีคุณค่าสารอาหารเช่น วิตามิน แร่ธาตุ หรือสารต้านอนุมูลอิสระใดๆ

สรุปแล้วเมื่อคุณเสียเงินไปหลาย 10 บาทเพื่อซื้อชานมไข่มุกหนึ่งแก้วนั้น สิ่งที่ได้รับคือ พลังงานที่เกือบจะเทียบเท่าข้าวหนึ่งจาน น้ำตาลที่เกินเกณฑ์กำหนดต่อหนึ่งวัน ไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ คาร์โบไฮเดรต และคาเฟอีน ทั้งหมดเป็นสูตรสำเร็จซึ่งก่อให้เกิดผลลัพธ์ 3 ประการคือ อ้วน แก่ และเสพติด!!

ที่มา : เครือข่ายคนไทยไร้พุง ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย โดย พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล (หมอผิง)