Wednesday, December 26, 2012

ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับสุขภาพ


บางเรื่องสุขภาพที่เรารู้กันมา อาจไม่ใช่เรื่องจริง หรือเป็นความเข้าใจผิดไปก็ได้ ลองมาดูสิว่า 10 เรื่องต่อไปนี้ คุณเคยเข้าใจอะไรผิดมาบ้างหรือเปล่า

1. ชาเขียวเพื่อสุขภาพ

ความเชื่อนี้ฮิตที่สุดเมื่อหลายปีก่อน ถึงขั้นทำให้ทำอะไรก็ต้องเอาชาเขียวมาเป็นส่วนประกอบ ไม่เว้นแม้กระทั่งผ้าอนามัย ปัจจุบันก็ยังคงความฮิตต่อเนื่อง แม้ว่ากระแสจะน้อยลงก็ตาม แต่นั่นก็ทำให้คนไทยเคยชินกับการกินชาเขียวแทนการดื่มน้ำอัดลม หรือน้ำอื่น ๆ

โดยความเชื่อนี้ คือในชาเขียวจะมี Cathechin ที่มี EGCG อันเป็นสารตัวเอกในการต้านอนุมูลอิสระ และสามารถยับยั้งการเกิดมะเร็งต่าง ๆ ได้ สาร Cathechin ที่ว่านั้นไม่ได้มีเฉพาะชาเขียวเท่านั้น ชาดำ หรือชาจีนก็มีเช่นกัน แต่อาจจะไม่มากเท่าชาเขียว และนั่นทำให้ชาเขียวกลายเป็นทุกคำตอบของสุขภาพไป

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ระดับความเข้มข้นของ EGCG ที่สามารถจัดการกับมะเร็งได้นั้น จะเทียบเท่าการดื่มชาเขียวแบบเข้มข้นไม่ผสมน้ำตาลวันละอย่างต่ำ 10 แก้ว ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันมะเร็งได้แล้ว ของแถมที่ตามมาก็คือ เจ้าสาร Tannin ที่เป็นสาเหตุของการเกิดอาการท้องผูก และนั่นทำให้ไม่ต้องคิดต่อเลยว่า ชาเขียวที่มีน้ำตาลผสมอยู่นั้น จะสามารถช่วยดูแลสุขภาพของเราให้ยืนยาวปราศจากโรคต่าง ๆ ได้อย่างไร

2. เดินลงดีต่อเข่ามากกว่าเดินขึ้น

เวลาที่จะให้เลือกระหว่างเดินลงบันไดกับเดินขึ้นบันได หลายคนคงจะเลือกเดินลงบันไดมากกว่า หนึ่งเพราะไม่ต้องรู้สึกเหนื่อยมาก และสองทำให้ไม่ปวดขา ปวดเข่าเวลาเดินอีกด้วย

ความเชื่อนี้อาจจะไม่จริงแล้ว เมื่อผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยทั้งไทยและต่าง ประเทศเห็นตรงกันว่า การเดินลงทางลาดชันรวมไปถึงบันไดนั้น จะทำให้ความเครียดเกิดขึ้นที่ข้อ และตัวกระดูกอ่อนของเข่ามากกว่าการเดินขึ้น รวมทั้งมีโอกาสสร้างความบาดเจ็บได้มากกว่า และที่เราคิดว่าการเดินขึ้น น่าจะทำร้ายเข่ามากกว่านั้น เป็นเพราะเวลาที่เราเดินขึ้น เราจะล้าและปวดกล้ามเนื้อมากกว่าเวลาเดินลงนั่นเองครับ

3. กระดูกพรุนต้องกินแคลเซียม

ความเชื่อนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเชื่อที่ว่า กระดูกของร่างกายมนุษย์เรานั้นมี แคลเซียมเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ ดังนั้นเมื่อเกิดภาวะกระดูกพรุน ก็เลยคิดว่าการกินแคลเซียมเข้าไปมาก ๆ จะช่วยทำให้กระดูกแข็งแรงได้

แต่ในความเป็นจริงนั้น การกินแคลเซียมเสริมเข้าไปในร่างกายอย่างเดียว อาจจะไม่ใช่คำตอบของการแก้ปัญหา เพราะการเสริมกระดูกของร่างกายมนุษย์เรานั้นมันมีกลไก และความซับซ้อนหลายอย่าง เช่น อัตราส่วนแคลเซียมต่อแมกนีเซียมที่ใช้ในการดูดซึม เพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด รวมไปถึงการใช้วิตามินดีให้พอเพียงกับปริมาณแคลเซียมที่ได้รับเพิ่มมา เพราะหากมีวิตามินดีไม่มากพอ ร่างกายก็ไม่อาจดูดซึมแคลเซียมที่ได้รับเพิ่มไปใช้ได้อยู่ดี

ดังนั้นการกินแคลเซียมเสริมเข้าไปในร่างกายนั้น ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการแก้ไขโรคกระดูกพรุนอย่างแน่นอน แต่การออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ และต่อเนื่อง มีโอกาสทำให้ร่างกายได้รับความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนน้อยลง และหากสงสัยว่า มีอาการเริ่มต้นของภาวะกระดูกพรุน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกจะดีกว่า

4. ซาวน่า ยิ่งอบนานยิ่งสุขภาพดี

ความเชื่อนี้ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะทุกครั้งที่เราออกจากห้องซาวน่าแล้ว น้ำหนักจะลดลงไปหลายขีด แล้วก็จะรู้สึกสบายตัวเป็นอย่างมาก เลยกลายเป็นความเชื่อที่ว่ายิ่งนานยิ่งดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีคนเคยเกือบเสียชีวิตเพราะนั่งในห้องซาวน่านานจนเป็นลมไปเลยก็มี ดังนั้นความเชื่อนี้เห็นทีจะไม่ถูกต้อง

การอบซาวน่าหรืออบสมุนไพรที่จะให้ได้ประโยชน์จริงนั้น ชาวฟินแลนด์ต้นตำรับเขาระบุไว้ว่า ต้องเป็นการอบร้อนสลับเย็น โดยอบร้อนเป็นเวลาประมาณ 3-5 นาที จากนั้นก็ลุกออกไปแช่น้ำเย็นประมาณ 1-2 นาที โดยทำสลับกัน 3 รอบ การทำแบบนี้จะส่งผลให้ร่างกายได้รับการกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนได้ดี เลือดลมเดินสะดวก และรู้สึกโปร่ง โล่ง สบาย

5. น้ำตาล ของหวาน ช่วยให้สดชื่น

เวลาที่เรารู้สึกเหนื่อย กระหาย อ่อนเพลียนั้น การดื่มน้ำหวาน หรือกินของหวาน ๆ เข้าไปจะทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นได้ ความคิดแบบนี้มีหลาย ๆ คนที่เชื่อเช่นนั้น และให้ความหวานเป็นทางออกของชีวิตเสมอ ๆ

แต่ในความเป็นจริงแล้ว การกินของหวานหรือดื่มน้ำหวาน นอกจากจะไม่ช่วยให้หายจากอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรงแล้ว ยังจะทำให้ร่างกายเรายิ่งแย่ลงไปอีกด้วย เพราะเมื่อเรารับน้ำตาลเข้าไปในร่างกาย ร่างกายก็จำเป็นต้องใช้วิตามินบีร่วมในการเผาผลาญเสมอ ๆ และเมื่อไรที่วิตามินบีหมด ร่างกายก็จะเข้าสู่ภาวะพร่องวิตามินบี ผลที่ตามมาก็คือเหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรงนั่นเอง ดังนั้นใครที่อยากสดชื่น ลองเปลี่ยนมาเป็นน้ำสะอาด ๆ สักแก้วน่าจะช่วยได้ดีกว่าเยอะ

6. ปวดหัว ตัวร้อน ต้องพาราฯ

เคยสังเกตไหมครับว่า ทุกครั้งที่เราไปพบแพทย์ ด้วยอาการไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ยาอย่างหนึ่งที่เรามักจะได้กลับมาเสมอ ๆ ก็คือ ยาพาราเซทามอล บางคนเป็นหวัด บางคนเป็นไข้ แต่หลังจากที่กินยาชนิดนี้ลงไปแล้ว อาการที่เป็นก็ดีขึ้น และทำให้เรารู้สึกดีขึ้น ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้วร่างกายเรากำลังโดนหลอกอยู่ เพราะการกินยาพาราฯ เข้าไปนั้น ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุด

ก่อนอื่นต้องขออธิบายง่าย ๆ ก่อนว่า ร่างกายของมนุษย์ทุกคนนั้น มีสารชนิดหนึ่งที่สามารถต่อสู้กับโรคภัยต่าง ๆ ที่เข้ามากล้ำกรายร่างกายเราอยู่แล้ว นั่นก็คือ เม็ดเลือดขาว และเมื่อเราเจ็บป่วย เม็ดเลือดขาวก็จะต่อสู้แทนเราทุก ๆ ครั้ง และจะทำงานได้ดีในอุณหภูมิที่สูงกว่าอุณหภูมิร่างกาย

หมายความง่าย ๆ ก็คือเวลาที่เราตัวร้อนนั้น สาเหตุก็เนื่องมาจากเม็ดเลือดขาวกำลังต่อสู้อยู่ และกำลังจะเอาชนะเชื้อโรคต่าง ๆ ที่บุกเข้าไป แต่เมื่อเรากินยาพาราเซทามอลเข้าไป ร่างกายก็ปรับอุณหภูมิเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งเป็นภาวะที่เชื้อโรคชื่นชอบ ทำให้เม็ดเลือดขาวเสียเปรียบ ไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ โรคที่เป็นอยู่ก็แค่ถูกกดทับไว้เท่านั้น แทนที่ร่างกายจะแข็งแรงเร็วขึ้น กลับกลายเป็นเลี้ยงไข้ไปแทน

นอกจากนี้ ยังมีผลข้างเคียงจากยาพาราเซทามอลนี้อีก เพราะส่งผลรุนแรงต่อตับ ดังนั้นไม่ควรกินติดต่อกันเกิน 5 วัน วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ตัวร้อนก็คือ การเช็ดตัว เพราะจะช่วยทำให้ร่างกายถูกกระตุ้น และทำงานได้มีประสิทธิภาพที่สุด ส่วนอาหารปวดหัวพักผ่อนให้เพียงพอแค่นี้อาการก็ดีขึ้นเอง อย่าถึงขั้นต้องกินยาเลยครับ

7. อาหารเสริมรักษาโรค

ถ้าลองอ่านสลากข้างขวดของอาหารเสริมทุกขวดดี ๆ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีการเขียนระบุไว้ว่า "ไม่มีผลต่อการรักษาโรค" เพราะอาหารเสริมก็คืออาหารเสริม ไม่ใช่ยาที่จะทำหน้าที่เข้าไปรักษาโรคใด ๆ ได้ อาหารเสริมนั้นเป็นเพียงตัวช่วยที่ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารต่าง ๆ ที่ขาดในรูปแบบที่รวดเร็วและสะดวกเท่านั้น แต่ไม่สามารถรักษาโรคนั้น ๆ ที่เป็นได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์

การกินอาหารเสริมยังทำให้ผู้คนหลงผิดคิดว่า ไม่จำเป็นต้องห่วงสุขภาพ ละเลยต่อการกินอาหารที่ดี รวมไปถึงไม่ออกกำลังกาย เพราะแม้อาหารเสริมระดับเทพก็คงไม่สามารถช่วยเยียวยาใด ๆ ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นการกินอาหารดี ๆ ผักสด ผลไม้สด ข้าวกล้อง รวมทั้งออกกำลังกายเป็นประจำ ก็ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุอย่างพอเพียงแล้ว หากแต่ถ้าทำไม่ได้ การรู้จักใช้อาหารเสริมเป็นส่วนช่วยเพิ่มก็เป็นเรื่องที่ดี

8. ดื่มน้ำมาก ๆ ดีต่อสุขภาพแน่นอน

ความเชื่อนี้ทำให้คนจำนวนไม่น้อย ดื่มน้ำกันละทีเป็นลิตร ๆ บางคนยิ่งรู้ว่ายิ่งดื่มยิ่งดีต่อสุขภาพ ก็ดื่มวันละหลายขวด หลายลิตร เรียกกันว่าดื่มกันลิตรต่อลิตรเลยทีเดียว

การดื่มน้ำเยอะเกินไปแบบนี้เมื่อสะสมเป็นเวลานานเข้า ร่างกายก็จะเกิดอาการปัสสาวะมาก มีสีใส มือเท้าเย็น ทำให้ร่างกายรู้สึกหนาวง่าย นานวันเข้าก็เกิดเป็นอาการสะสมที่เรียกว่าอ่อนเพลียเรื้อรัง ขาอ่อนแรง และมีสิทธิ์ที่จะหย่อนสมรรถภาพทางเพศสูงอีกด้วย

เหตุผลง่าย ๆ ที่ทำให้เป็นเช่นนี้ เพราะเวลาดื่มน้ำเข้าไปมาก ๆ นั้น ไตก็จะทำหน้าที่คัดกรองสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเก็บไว้ เช่น เกลือแร่ แต่เมื่อเราดื่มน้ำเข้าไปมากเกินความจำเป็น ก็ทำให้ไตทำงานมากขึ้น เมื่อผ่านช่วงเวลาสะสมนานเข้า ก็กลายเป็นอาการ "พร่องพลังไต" นั่นเอง

แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะพร่องพลังไตกันหมด เพราะแม้ในมื้ออาหารที่เรากินเข้าไปในแต่ละมื้อจะมีน้ำอยู่แล้ว และเราก็กินน้ำอยู่ตลอดทั้งวัน แต่ร่างกายเราก็มีการขับถ่ายของเสียประเภทน้ำออกทางเหงื่อ ปัสสาวะ แถมยังใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ของร่างกายอยู่แล้ว ดังนั้นหากไม่ดื่มน้ำเลย หรือดื่มน้ำน้อยไปก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพเช่นกัน

ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ อย่ารอให้หิวกระหายน้ำ แล้วค่อยดื่มน้ำ แต่ควรจิบน้ำอยู่เป็นประจำตลอดทั้งวัน ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องไปเข้าห้องน้ำบ่อย หรือจะทำให้ไตทำงานหนัก เพราะการดื่มน้ำสะอาด ๆ เป็นประจำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว มีผลทำให้ผิวเรามีสุขภาพดี รวมไปถึงร่างกายเราก็สุขภาพดีอีกด้วย

9.กินไขมันแย่ ตายผ่อนส่ง

เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่หลาย ๆ คนคิด และยืนยันในการเลือกกินอาหารไร้มัน เพราะจะทำให้น้ำหนักขึ้น แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดของสิ่งที่ไขมันมีอย่างแน่นอน เพราะนอกจากความอ้วนแล้ว ไขมันยังมีประโยชน์ในส่วนของเป็นสารประกอบพื้นฐานในเยื่อหุ้มเซลล์ ช่วยสร้างเนื้อเยื่อของสมองและเส้นประสาท และมีความสำคัญในการทำให้เซลล์ เนื้อเยื่อ ต่อม และอวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้ตามปกติ แถมยังเป็นตัวช่วยในการซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมสภาพ และให้พลังงานที่เสถียรกับ ร่างกายในระยะยาว

ไขมันยังเป็นตัวที่ช่วยในเรื่องของการละลายวิตามิน A, D, E, K ซึ่งมักจะพบมากในพวกถั่วเปลือกแข็งต่าง ๆ เช่น อัลมอลด์ วอลนัท เมล็ดธัญพืชต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งอาหารจำพวกปลาที่มีไขมันสูงก็มีประโยชน์ เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า หรือผลไม้อย่าง อะโวคาโด้ มะกอก ก็มีกรดไขมันตัวดีที่นำไปใช้ และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายด้วยเช่นกัน

10. กินผลไม้เยอะ ๆ มีประโยชน์

ความเชื่อนี้เกือบจริง เพราะผลไม้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์และมีวิตามิน แถมมีกากใยอีกต่างหาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการกินผลไม้ชนิดเดียวกันมาก ๆ ต่อเนื่องยาวนานจะมีประโยชน์

อย่างเช่น ถ้าเรากินทุเรียนหลังอาหารเย็นทุกวัน คุณคิดว่าจะทำให้สุขภาพดีขึ้นไหม เพราะในผลไม้นั้นมีน้ำตาลฟรุกโตสเป็นสารให้ความหวานหลัก ซึ่งมีโอกาสส่งผลให้ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน มีอาการน้ำตาลในเลือดสูง หรือแม้กระทั่งผู้ป่วยโรคหัวใจหรือความดันโลหิตสูงก็ตาม ผลไม้บางชนิดก็ไม่เหมาะด้วยเช่นกัน

ที่มา : health.kapook.com

Wednesday, November 14, 2012

ระวัง! อันตราย อุจจาระตกค้าง


เรื่องที่คิดไม่ถึงของอุจจาระ  คุณหมอพรทิพย์ โรจนสุนันท์  กล่าวไว้ถึงอันตรายของอุจจาระตกค้าง และวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายดาย

คุณหมอพรทิพย์ กล่าวไว้ว่า เวลาผ่าศพ หมอจะเจออุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจ บางศพมีน้ำหนักอุจจาระถึง 10 กิโล

อะไรคือสาเหตุ ... ???

เขาว่า "อุจจาระตกค้าง " มีสาเหตุเนื่องมาจาก

1. เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด
2. กินอาหารที่มีกากใยน้อย
3. มีพยาธิ หรือ เชื้อรา ทำให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติ
4. ระบบดูดซึมเสีย เพราะน้ำมันพืชเคลือบ ทำให้น้ำที่ดื่มเข้าไป ไม่หมุนเวียน
5. ไม่ถ่ายอุจจาระเวลา ตี 5 ถึง 7 โมงเช้า

หากถ่ายอุจจาระ หลังเวลา 7 โมงเช้า ลำไส้จะบีบให้อุจจาระขึ้นไปข้างบน เวลาถ่าย จะถ่ายไม่หมด แต่เราจะไม่รู้ตัว ที่ปลายลำไส้จะมีประสาทปลายทวาร เมื่อมีอุจจาระที่เหลวพอ มาจ่อปลายทวาร ประสาทจะส่งสัญญานบอกสมองให้ปวดอึ หลัง 7 โมงเช้า

ลำไส้จะทำงานไม่เป็นปกติ บีบอุจจาระให้ขาดช่วง เวลาถ่ายจนรู้สึกว่าหมดแล้ว เราก็หยุด

แต่ความจริง อุจจาระท้ายขบวนยังไม่ออก แต่มันถูกดันกลับขึ้นไป ไม่มาจ่อปลายทวาร ทำให้เราไม่ปวดอึ  เราก็ นึกว่าหมดแล้ว อุจจาระที่ค้างไว้นี้ ก็จะเกาะที่ผนังลำไส้ พอมีอุจจาระใหม่ที่เหลวกว่า มันก็แซงหน้าไปก่อน แต่มันไม่สามารถดันพวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้ พวกที่ค้างแข็งไว้ ก็เกาะติดแน่น

เพราะฉะนั้น ทุกวันที่ถ่าย มันก็ถ่ายเฉพาะอึที่เหลวพอ ส่วนที่เหลือก็เกาะไปเรื่อยๆ  อุจจาระตกค้างจะไปทับเส้นเลือดต่างๆ ในกระเพาะและ กดทับกระดูกหลัง ทำให้เกิดอาการมากมาย เช่น ท้องอืด ปวดหลัง ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่และสะบัก เวียนหัว อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เป็นฝ้า ไม เกรน และ อื่นๆ

นั่นแหละเป็นที่มา..ที่คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่า

"เวลาผ่าศพจะเจออุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตก ใจบางศพ มีน้ำหนักอุจจาระถึง 10 กิโล"

การนำอุจจาระตกค้างออก จึงจำเป็นต้องหาว่า อะไรที่เป็นสาเหตุใดใน 5 สาเหตุข้างต้น แต่ถ้าสามารถได้รับการตรวจด้วยลูกดิ่งเพนดูลั่มก็จะรู้ได้

สำหรับท่านที่ไม่สะดวกในการเดินทางไปตรวจ ก็แนะนำให้ถ่ายพยาธิเสียก่อน หลังจากนั้นก็ลองสูตรอาหารดังต่อไปนี้

1. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 30 นาที ดื่มก่อนนอน

ม็ดแมงลักจะลากอุจจาระตกค้างออกมา ทานเป็นปกติได้ทุกวัน หรือ 3-4วันต่อสัปดาห์ แล้วแต่จะชอบ

2. นมสด 2 กล่อง (ประมาณ 500 มิลลิตร) และ กล้วยน้ำว้า 2 ลูก ทานก่อน 6 โมงเช้า

ช่วงแรกควรทานติดกัน 3 วัน หากถ่ายก่อน 7 โมงเช้าเป็นปกติได้แล้ว ก็ลดมาเป็นสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือ ตามที่เห็นสมควร

3. ทานผักบุ้ง 2 กำมือ ผัด หรือ ต้ม ทำอาหารตามใจชอบ

ผักบุ้งจะลากอุจจาระตกค้างออกมา

Wednesday, June 20, 2012

การคีโมช่วยรักษามะเร็ง ได้จริงหรือ


ข้อมูลที่ได้จาก Facebook ของ MarketingGun หัวข้อ "เรื่องจริงที่ หมอ ไม่ได้บอก......(คีโม กับ คีโม กับ มะเร็ง)"  ได้ให้ความรู้ในเรื่องของการทำคีโมรักษาโรคมะเร็ง เขียนไว้ได้อย่างน่าสนใจ และเข้าใจง่าย น้ำใจเชื่อว่าหลายคนที่กำลังเป็นมะเร็งอยู่ หรือมีญาติ หรือคนรู้จัก ทุกข์ทรมานกับโรคร้ายนี้  และต้องตัดสินใจว่า จะผ่าตัดหรือทำคีโม ฆ่าเซลล์มะเร็งร้ายนี้ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่

การแพทย์ทางเลือก เช่นการใช้สมุนไพรรักษาโรค มันช่างดูไม่เป็นวิทยาศาสตร์ และไม่ทันใจเอาเสียเลย การแพทย์สมัยใหม่ ใช้ฉีดสารเคมีเข้าช่วย เพื่อฆ่าเนื้อร้าย (แต่เนื้อดีก็ตายไปด้วย) จึงเป็นทางเลือกที่หลายคนตัดสินใจจะลองดู

หากเราบอกว่า แพทย์ทางเลือก สมุนไพรรักษาโรคมะเร็ง มีตัวอย่างให้เห็น ว่าช่วยได้ หายจริง ไร้ผลข้างเคียง

หากเราบอกว่า แพทย์สมัยใหม่ ที่ใช้เคมีบำบัด ที่ดูเหมือนว่า จะมีคนเป็นมะเร็ง รักษา "หาย" ได้ด้วยคีโม แต่ก็ต้องเสี่ยงกับผลข้างเคียง ที่มีมากมาย ดังบทความข้างล่างนี้

ลองอ่านดู บทความข้างล่างนี้ จะให้ข้อมูลที่เป็นสาระประโยชน์ เกี่ยวกับโรคมะเร็ง และการดูแลรักษาตัว ให้ห่างไกลจากโรคมะเร็งได้อย่างง่ายๆ  แล้วจึงค่อยตัดสินใจ ว่าท่านจะเลือกทางใด ชีวิตเป็นของท่าน ทางเลือกเป็นของท่าน ท่านต้องเลือกเอง และยอมรับกับผลที่เกิดขึ้น

คีโมกับมะเร็งและการดำรงชีวิต

หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะ ลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก

ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์

1. ทุกๆ คนมีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลล์มะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล(1,000,000,000 เซลล์ เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลล์มะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น

2. เซลล์มะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆ หนึ่ง

3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลล์มะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก

4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆ ในการดำรงชีวิต

5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่อง หลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น

6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลล์มะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วแต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลล์ที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ

7. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ  อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆ พบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลล์เนื้องอก

8. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโม หรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆ นั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

9. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลล์มะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลล์มะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย

10. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลล์มะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัวอะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลล์มะเร็ง

ก. น้ำตาล คือ อาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลล์มะเร็ง สารทดแทนน้ำตาล อย่างเช่น "นิวตร้าสวีต" "อีควล" "สปูนฟูล" ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวานซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่า คือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆ เท่านั้น เกลือสำเร็จรูป ก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้  "แบรก อมิโน" หรือ เกลือทะเล แทน
ข. นม เป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลือง ชนิดไม่หวาน แทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ ได้รับอาหาร
ค. เซลล์มะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวก เนื้อ จะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทาน ปลา จะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทาน ไก่ แทนเนื้อและ หมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิต บางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง
ง. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืช จำพวกหัวเมล็ดถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อยจะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมทราบสู่ระดับเซลล์ภายใน 1 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลล์ที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน  เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F (ประมาณ 4 องศา C)
จ. ให้หลีกเลี่ยง กาแฟ น้ำชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมี คาเฟอีนสูง  ชาเขียว ถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซิน และโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรดให้หลีกเลี่ยง

11. โปรตีนจากเนื้อ จะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น

12. ผนังของเซลล์มะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงด หรือ การรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลงจะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอ มาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลล์มะเร็ง และช่วยให้ เซลล์ของร่างกายสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งได้ดีขึ้น

13. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ( สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phyti acid], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลล์ของร่างกายสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆ เช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซลล์ หรือ กำหนดระยะเวลาการตายของเซลล์ ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการ กำจัดเซลล์ที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป

14. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์ กับ จิตใจ  ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุก และ การคิดในเชิงบวก จะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง.... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต

15. เซลล์มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆ จะช่วยให้ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้น ลงไปจนระดับเซลล์ การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลาย เซลล์มะเร็ง

( กรุณาช่วย Forward ไปยังบุคคลที่คุณรักและห่วงใย )
นี่คือเรื่องที่คุณควรส่งออกไปให้คนที่มีความสำคัญกับชีวิตคุณได้รับรู้รับทราบ

Tuesday, May 15, 2012

อึ ให้ดี ไม่มีตกค้าง



เมื่อเร็วๆ นี้ได้อ่านบทความหนึ่งในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ที่เก็บไว้นานมากแล้ว  แต่ก็สดุดกับชื่อเรื่อง "อึ ให้ดี ไม่มีตกค้าง"  ด้วยความที่เราเป็นคนมีปัญหาท้องผูกประจำ เรื่อง "อึ" นี้ น่าจะเป็นประโยชน์ ก็เลยหยิบมาอ่าน และเอามาพิมพ์แชร์ให้เพื่อนๆ ที่กำลังมีปัญหาเรื่องนี้ได้อ่านกัน

อันตรายจากอุจจาระตกค้าง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรปล่อยผ่านไป คนเราถ้าหากเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด กินอาหารที่มีกากใยน้อย อาจทำให้มีพยาธิ เชื้อรา  หรือทำให้ระบบดูดซึมเสีย  หากเราไม่ถ่ายอุจจราะเวลา 5 - 7 โมงเช้า หรืออีกนัยหนึ่ง ถ่ายอุจจาระหลัง 7 โมงเช้า ลำไส้จะบีบ ให้อุจจาระขึ้นไปข้างบน เวลาถ่าย จะถ่ายไม่หมด มีอุจจาระตกค้าง เกาะที่ผนังลำไส้  พอมีอุจจาระให้ที่เหลวกว่า มันก็จะแซงหน้าไปก่อน แต่ไม่สามารถดันพวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้  อุจจาระที่ค้างแข็ง ก็จะเกาะติดแน่นไปเรื่อยๆ อุจจาระตกค้าง จะไปทับเส้นเลือดต่างๆ ให้กระเพาะและกดทับกระดูกหลัง  ทำให้เกิดอาการต่างๆ ตามมามากมาย เช่น ท้องอืด ปวดหลัง ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่และสะบัก เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เป็นผ้า ไมเกรน และอื่นๆ

โอ้ ทำไมแค่ อึ ไม่หมดนี้ มันพาปัญหามาให้เรามากมายเพียงนี้เชียวหรือ  มาไขปริศนาข้อข้องใจกับ นพ. กฤษดา ศิรามพุช  ผอ. สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กันเลย

คุณหมออธิบายว่า เรื่องอุจจาระตกค้าง หรือ อึค้าง นี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ในร่างกายคนเรา เราอาจตรวจสัญญาณอึค้างในลำไส้ใหญ่ได้เองอย่างง่ายๆ  โดยการนอนหงาย แล้วเอามือคลำท้องด้านซ้ายล่าง เลยไปทางสะดึอซ้ายหน่อย แล้วเอานี้ทั้ง 5 ลองกดดูให้ลึกเต็มที่เลื่อนไปมา ถ้ามีอึค้างอยู่ จะคลำได้เป็นลำคล้ายแท่งยาวๆ อยู่ตามรูปลักษณ์ของลำไส้  โดยลำไส้ใหญ่นี้ จะยิ่งคลำได้ชัดในคนผอม ส่วนคนที่อ้วน อาจต้องใช้วิธีนอนแขม่วพุงช่วย แล้วค่อยคลำ จึงจะสัมผัสได้  จริงๆ แล้ว เรื่อง อึ ซึ่งเป็นกิจวัตรธรรมดา ดูเหมือนไม่มีอะไรนั้น มันต้องมีการฝึกการเข้าส้วมกันบ้างให้เป็นนิสัย ปัญหานี้ถึงจะหมดไป

กลุ่มคนที่มักมีปัญหาเรื่องอึค้าง  ได้แก่

1. เด็กเล็กที่ให้กินนมแล้วนอนเลย ไม่พาอุ้มพาดบ่า ลูบหลัง  หรือไม่ยอมให้ลูกขยับตัวกลิ้งไปมาสักนิดหน่อย เพื่อให้ลำไส้ได้บีบตัวบ้าง  และในเด็กที่อึแข็งมาก อึอาจแข็งและบาดรูก้นเป็นแผลได้  แล้วทำให้ครั้งต่อไป เด็กจะไม่อยากอึออกมาเพราะกลัวเจ็บ แผลแยก เลยยิ่งกลั้น พอยิ่งกลั้นอึ อึก็ยิ่งแข็งค้างไปเรื่อย
2. คนที่ผ่าตัดบ่อย จะมีพังผืดไปรัดลำไส้ข้างในนุงนัง ทำให้การบีบตัวไม่ดี อาจมีอึค้างอยู่ตามซอกโน้นนี้นั้นในลำไส้ จนชางคนกลายเป็นโรคลำไส้อุดตันไปก็มี
3. ผู้สูงอายุและคนไข้ที่นอนในโรงพยาบาล ที่ไม่ค่อยได้ขยับตัวลุกเดิน
4. คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย แถมชอบอั้นอึบ่อยๆ  โดยเฉพาะคนที่ทำงานในออฟฟิศ ต้องนั่งอยู่กับที่นานๆ หรืออั้นเอาไว้เพราะไม่อยากเดินเข้าห้องน้ำบ่อยๆ แบบนี้ก็ไม่ดีแน่
5. คนที่มีลำไส้ยาว ยิ่งยาวก็ยิ่งเป็นไซโล เก็บอึไว้ได้นานขึ้น บางคนจะสังเกตว่า กินผักเข้าไปตั้งเยอะ แต่อึแค่สัปดาห์ละครั้งเท่านั้น

สำหรับเทคนิก "อึให้ดี ไม่มีตกค้าง"  ให้ทำดังนี้

1. อย่าอั้นอึตอนเช้า เพราะถ้าเลยเช้าไปแล้ว กว่าร่างกายจะส่งสัญญาณให้ปวดอึอีก อาจนานจนผิดเวลา
2. อึให้ตรงกับเวลาเดิม เหมือนเป็นการสร้าง "โปรแกรมให้ลำไส้" ให้คอยบีบไล่อึออกมาสม่ำเสมอ ก็จะไม่มีตกค้าง
3. รอจังหวะขณะอึ ขณะนั่งส้วมอยู่ ถ้าไม่ปวดก็อย่าเบ่ง ให้ลองจับสังเกตดู จะพบว่าเราจะ "ปวดเป็นช่วงๆ" แล้วก็คลายไป แล้วประเดี๋ยวก็ปวดบีบขึ้นมาอีก  นั้นเป็นเพราะลำไส้คน จะบีบตัวเป็นลูกคลื่นเหมือนงูเลื้อย  ถ้ามันเลื้อยมาถึงตรงอึพอดี มันจึงปวดขึ้นมา ถ้าเราไปเบ่งตอนไม่ปวด จะเหมือนเป็นการ "แกล้งลำไส้" ให้เกิดแรงดันขึ้นมาโดยใช่เหตุ เกิดโป่งพองขึ้นมาได้ และได้ "ริดสีดวงทวาร" มาเป็นของแถม
4. นวดลำไส้ ถ้าเป็นเด็ก ให้นวดรอบสะดือ ถ้าเป็นผู้ใหญ่ ให้นวดตรงท้องด้านล้างซ้ายเลยสะดือไป นวดเบาๆ ไปมา แล้วทิ้งไว้สักพัก จะรู้สึกปวดถ่ายขึ้้นมา

5. เอามือกดท้องด้านซ้ายล่างขณะนั่งถ่าย หรืออาจลุกขึ้นนั่งยองเอาหน้าขาเป็นตัวกดไล่อึออกมา เพราะจริงๆ แล้ว การอึที่ดีตามธรรมชาติของคนเราคือ "ท่านั่งย่องๆ" เพราะจะได้มีแรงกดจากหน้าขาด้วย  การที่เราเอาส้วมแบบฝรั่งมาใช้ เป็นการผิดธรรมชาติมนุษย์ เพราะจะไม่มีแรงเบ่งอึมากในท่านั่งห้อยขา ทำให้คนเอเชียกลายเป็นโรคริดสีดวงและท้องผูกกันมากขึ้นตามฝรั่งไป
6. ลุกขึ้นเดิยไปมา จะทำให้ไส้บีบตัวดี สักพักใส่จะบีบรีดเอา "อึท้ายขบวน" ที่เหลือออกมา แล้วเราจะรู้สึกปวดเบ่งอีกที

ไม่ว่าใครก็ตาม ถ้าความถี่ในการอึ น้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ถือว่าเป็น "โรคท้องผูก"  นอกจากออกกำลังกายแล้ว อาจใช้อาหารช่วยล้างลำไส้ได้ อาหารที่จะทำให้ช่วยลำไส้ได้ ก็มี

1. น้ำมะขามเปียกก้นครัว
2. ลูกพรุนแห้งรับประทานทั้งผล เพราะจะได้กากด้วย ไม่ควรแยกกินแต่น้ำ
3. แอบเปิ้ลเขียว จะกินทั้งผลหรือปั่นทั้งกากก็ได้
4. ถั่วดำ จัดเป็นอาหารล้างพิษได้ด้วย
5. สัปปะรดและมะละกอที่มีน้ำย่อย ช่วยกัดกากคราบโปรตีนเก่าๆ ที่ถูกย่อยไม่หมด และมีสภาพติดเป็นอุจจาระยางเหนียวสีดำคล้ายจาระบี
6. เลี่ยงการดื่มน้ำเย็นในตอนเช้า แต่ให้ดื่มน้ำปกติหรือน้ำอุ่นตอนเช้าแทน เพราะขณะตื่นท้องว่าง จะช่วยให้ไส้บีบรัดตัวได้ ชวนให้ปวดอึขึ้นมาได้ดีทีเดียว