Tuesday, March 31, 2015

เรื่องกล้วยหอม

อย่าใส่กล้วยหอมไว้ในตู้เย็นเฉยๆนะครับ
หลังจากอ่านบทความนี้จบ....ท่านจะมอง
กล้วยหอมในอีกแง่มุมหนึ่งทันที
กล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิดคือ ซุคโคส ฟรุคโตส และกลูโคส
(sucrose, fructose and glucose) รวมทั้งเส้นใยอาหารมันจะให้พลังงาน
แก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันทีเลยครับ
เขาวิจัยมาแล้วว่ากล้วยหอม2ใบให้
พลังงานเพียงพอให้เราทำงาน
ถึง 90 นาทีไม่ต้องสงสัยเลยนะครับว่า ทำไมนักกีฬาระดับโลกถึงชอบ
กินกล้วยหอมกันนัก
(เคยเห็นในสนามเทนนิส พอพักเบรค
บางคนหยิบกล้วยหอม มากินสัก 2-3 คำ)
ยังไม่หมดนะ...เจ้ากล้วยยังมีคุณอนันต์
ป้องกันโรคภัยและภาวะต่างๆ ของร่างกายได้อีกด้วย...
มาดูกันครับความเศร้าซึมจากการสำรวจ
และวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจาก
คนไข้ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซึมพบว่า
ส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กิน
กล้วยหอมเพราะว่ามันมี tryptophan ซึ่งเป็นกรดอะมิโนโปรตีนชนิดหนึ่ง
ซึ่งร่างกายสามารถแปลงเป็น serotonin
สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น

pms (premenstrual syndrome)
สำหรับสุภาพสตรีแล้วก่อนที่จะมี
ประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดง่าย
ไม่อยู่กับร่องรอยและก่อให้เกิดสภาวะ
ต่อร่างกายเช่นปวดท้อง ปวดหัว...ฯลฯ
รีบกินกล้วยหอมซะดีๆ ยาแก้ปวดลืมไปได้เลย...
มันสามารถป้องกันได้นะจ๊ะ.....

โรคโลหิตจาง (Anemia)
ธาตุเหล็กในกล้วยหอมสามารถที่จะ
กระตุ้นร่างกายให้ผลิต
Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน)
ในกระแสโลหิตช่วยหยุดยั้งภาวะ
โลหิตจางได้แต่คงไม่ช่วยแก้โรค
ทรัพย์จางได้หรอกนะ...ฮ่า...ฮ่า
(โรคนี้ผมเป็นบ่อย ๆ.....หุ...หุ....)

ความดันโลหิต (Blood Pressure)
กล้วยหอมมีเกลือโปแตสเซียมเหลือง
อยู่เยอะเป็นตัวช่วยความดันเลือดจนกระทั่ง US Food and Drug Administration
อนุมัติให้กล้วยหอมยอดผลไม้มีส่วน
ช่วยลดภาวะความเสี่ยงความดันได้จริง

เสริมสร้างพลังสมอง (Brain Power)
ที่อังกฤษในแค้วน Middlesex มีนักเรียนจำนวน 200 คนจาก Twickenham school
อ้างว่าพวกเขาสอบผ่านเพราะได้กิน
กล้วยหอมเป็นอาหารเช้า
รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยง
เพื่อทำให้สมองสดชื่นเขาได้วิจัย
พบว่าโปแตสเซียมในกล้วยช่วย
นักเรียนให้ตื่นตัวอยู่เสมอ

อาการท้องผูก (Constipation)
เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยทำให้
ระบบขับถ่ายในร่างกาย ทำงานได้ดี

เมาค้าง (Hangovers)
วิธีแก้เมาค้างที่เร็วและดีอีกวิธีหนึ่งก็คือ
กินกล้วยหอมปั่น banana milkshake
โดยการใส่น้ำผึ้งลงไปด้วย
(ฮ่า...ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย...ต้องลองแน่ ๆ)
ด้วยสรรพคุณของน้ำผึ้งและสารวิตามิน
ในกล้วยจะช่วยปรับระดับน้ำตาลใน
เส้นเลือดและทำให้กระเพาะอาหาร
อยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็วขึ้น...

จุกเสียดแน่นท้อง (Heartburn)
กล้วยหอมมีสารลดกรดตามธรรมชาติ
อยู่ดังนั้นการกินกล้วยก็จะช่วยให้
ลดอาการดังกล่าว

Morning Sickness
ไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไรดีนะ...อาการงี่เง่า
ตอนเช้าเช่นไม่อยากจะตื่นบ้าง...ฯลฯ(คือคนแพ้ท้องครับ /ผู้ส่งต่อ)
ถ้าเรากินกล้วยหอมสักคำ 2คำ ระหว่างมื้อเช้า เที่ยง หรือเย็น
มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด
และแก้อาการดังกล่าวในตอนเช้าได้

บรรเทาแผลยุงกัดก่อนที่จะใช้ยาทา
ลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านใน
ถูบริเวณที่ถูกยุงกัด
จะช่วยลดอาการคันหรือบวมได้.....
คนส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้นจริง ๆ

ระบบประสาท (Nerves)
วิตามินบีที่มีอยู่มากในกล้วยหอมจะ
ช่วยลดความเครียด...อ่อนล้าได้

อ้วนจากทำงานมากเกินไป
ที่สถาบันจิตวิทยาในออสเตรีย
ได้ศึกษาและพบว่าความเครียดจากที่
ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแล็ตและ
พวกโปเตโต้ชิปส์มากเกินไป
ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้นจากที่กล่าว
มาแล้วถ้ากินกล้วยหอมสักเล็กๆน้อยๆ ประมาณทุกๆ2ชม.มันจะช่วยปรับ
ระดับน้ำตาลในเลือดและลดการ
อยากกินของจุกจิก

แผลในลำไส้และกระเพาะอาหาร
รวมทั้งผิวหนังพุพองเป็นแผล(Ulcers)
สารและเส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้
การย่อยอาหารของลำไส้เล็กดีขึ้น
รวมทั้งกรดต่างๆที่มีอยู่ทำให้มีการ
เคลือบผิวของกระเพาะลดการเป็น
แผลในกระเพาะได้

ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย (Temperature Control)
ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรที่มี
อากาศร้อนผู้คนชอบกินกล้วยหอม
ดับร้อนกันครับและเชื่อว่ามันเป็น ผลไม้เย็นฉ่ำชนิดหนึ่งอย่างเช่นใน
เมืองไทยมีความเชื่อกันว่าผู้หญิงท้อง
ควรกินกล้วยหอมเป็นประจำ
เพื่อเด็กที่เกิดมาจะได้มีอารมณ์
เยือกเย็นเป็นต้น.... so cool....

ลดความอยากสูบบุหรี่
สำหรับท่านที่ต้องการเลิกบุหรี่
กล้วยหอมอาจช่วยท่านได้เพราะมี
วิตามิน B6, B12 โปแตสเซียมและแม็กนีเซียม
ที่มีอยู่มากจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัว
เร็วจากการขาดสารนิโคติน

ห้ามพลาดอ่านให้จบก่อนจะลบหรือไม่ลบข้อความนี้แล้วแต่พิจารณาสำหรับผู้ส่งกินมานานแล้วดีสุดๆจ้า

Monday, March 30, 2015

นอนน้อย เสี่ยงหัวใจวาย


Ranjan Das ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท SAP-Indian subcontinent เสียชีวิตจากหัวใจวาย หยุดเต้นรุนแรงในมุมไบเมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาเป็นหนึ่งของซีอีโอคนสุดท้อง เขาอายุเพียง 42 ปี

สิ่งที่ฆ่า Ranjan Das ?

เขาเป็นคนที่ active มากในการเล่นกีฬา ได้ออกกำลังกายและยอดนักวิ่งมาราธอน

หลังจากการออกกำลังกายของเขาเขาทรุดตัวลงกับหัวใจวายและเสียชีวิต เขาทิ้งภรรยาและลูกสองคนหนุ่มสาวของเขามาก

แน่นอน เหตุการณ์นี้ ปลุกเตือนองค์กรอินเดีย ยิ่งสร้างความตระหนกสำหรับนักวิ่ง

คำถามที่เกิดขึ้นว่า ทำไมคนที่แข็งแรงอย่างยิ่ง จึงต้องเสียชีวิตต่ออาการหัวใจวาย ในขณะที่อายุเพียง 42 ปี

เหตุผลที่แท้จริงคืออะไร?

ทุกคนมองข้ามสิ่งเล็ก ๆ ในรายงานที่ Ranjan Das ใช้เวลา 4-5 ชั่​​วโมงสำหรับการนอนหลับ

ในการให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ Ranjan Das ให้สัมภาษณ์ NDTV ในรายการ ‘Boss' day out’ , Ranjan Das ยอมรับว่าเขานอนน้อย และอยากที่จะได้นอนหลับมากกว่านี้

ระยะเวลาการนอนหลับสั้น (น้อยกว่า 5 หรือ 5-6 ชั่วโมง) เพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงขึ้น 350% - 500% เมื่อเทียบกับผู้ที่หลับนานกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน

คนหนุ่มสาว (25-49 ปี) มีความเสี่ยงเป็นสองเท่า ที่จะมีความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงหากพวกเขานอนหลับน้อย

บุคคลที่หลับน้อยกว่า 5 ชั่​​วโมงต่อคืนมีความเสี่ยงเป็น 3 เท่า ต่อความเสี่ยงของโรคหัวใจ

ในคืนหนึ่งๆ ของการนอนน้อย จะมีการเพิ่มขึ้นของสารพิษในร่างกายมากเช่น Interleukin-6 (IL-6), เนื้องอกเนื้อร้ายปัจจัยอัลฟา (TNF-alpha) และ C-reactive protein (CRP) นอกจากนี้ยังทำให้เกิดโรคมะเร็งโรคข้ออักเสบและโรคหัวใจ

การนอนที่น้อยกว่า 5 ชั่​​วโมงต่อคืน  จะนำไปสู่​​การเพิ่มขึ้น 39% ในการเกิดโรคหัวใจ
การนอนที่น้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน  จะนำไปสู่​​การเพิ่มขึ้น 8% ในการเกิดโรคหัวใจ

การนอนหลับที่ดีคืออะไร?

ในช่วงสั้น ๆ การนอนหลับประกอบด้วยสองขั้นตอน: REM (Rapid Eye Movement-ช่วงที่ลูกตาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว) และ non-REM

REM จะช่วยในการปรับปรุงสภาพจิตใจ ในขณะที่ non-REM จะช่วยในการซ่อมแซมและเสริมสร้างสภาพร่างกาย

ไม่น่าแปลกใจ เมื่อคุณตื่นขึ้นมาจากนาฬิกาปลุก หลังจากนอน 5-6 ชั่วโมง คุณจะรู้สึกหงุดหงิดใจตลอดทั้งวัน (ขาดการนอนหลับ REM)และถ้าใครได้นอนหลับน้อยกว่า 5 ชั่​​วโมง จะพบว่าร่างกายอยู่ในสภาพที่ไม่ฉบับสมบูรณ์ (ขาดการนอนหลับที่ไม่ REM), คุณจะเหนื่อยตลอดทั้งวันและภูมิคุ้มกันทางลง

โดยสรุป:
ในด้านการควบคุมความเครียด Ranjan Das ทำทุกอย่างถูกต้อง: การรับประทานอาหารที่เหมาะสม, การออกกำลังกาย, การรักษาน้ำหนักที่เหมาะสม
แต่เขาพลาดในเรื่องการนอนหลับที่เหมาะสมและเพียงพอ(อย่างน้อย 7 ชั่วโมง) นั่นแหละที่ฆ่าเขา

เรากำลังเล่นอยู่กับไฟ ถ้าเรานอนหลับน้อยกว่า 7 ชั่วโมง แม้ว่าร่างกายเราจะมีความเครียดในระดับต่ำ อย่าตั้งนาฬิกาปลุกของคุณให้ต่ำกว่า 7 ชั่วโมงสำหรับการนอน

Ranjan Das เขาไม่ได้เป็นแบบนี้คนเดียว มีอีกหลายคนมีพฤติกรรมแบบเดียวกัน

โปรดแชร์ข้อความนี้ ให้ทุกคน เพื่อชีวิตของคุณและเพื่อน รวมถึงคนที่คุณรัก

Sunday, March 29, 2015

เตือนกายบริหารสะบัด หัก บิดคอเสี่ยงตาบอด-อัมพฤกษ์

เนชั่นทันข่าว 16:16 น.
เตือนกายบริหารสะบัด หัก บิดคอเสี่ยงตาบอด-อัมพฤกษ์

เมื่อวันที่ 25 มี.ค.2558 ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า แพทย์ด้านสมองได้มีการศึกษาและเฝ้าระวังเรื่องการบริหารคอด้วยการสะบัดคอ หมุนคอ เอียงคอ โดยเฉพาะการบริหารร่างกายด้วยหมุนคอเป็นประจำเช่น เช้า 30 รอบ เย็น 30 รอบ ถือเป็นท่ากายบริหารที่ร้ายแรง ส่งผลให้เส้นเลือดคู่หลังก้านคอถูกเส้นเอ็น และกระดูกเข้าไปกระแทกจนผิวเส้นเลือดชั้นในฉีกขาด ตีบตันและทำให้เป็นอัมพฤกษ์

ส่วนการทำกายภาพบำบัดด้วยการนวดไคโรแพรกเตอร์ที่มีการบิดคอ หักคอเพื่อให้กระดูกเข้ารูปนอกจากจะทำให้เส้นเลือดคู่หลังฉีกขาดแล้ว ยังทำให้เส้นเลือดคู่หน้าที่ทำหน้าที่ส่งเลือดไปเลี้ยงสมองทางด้านหน้าและสมองใหญ่ฉีกขาดด้วย

“นอกจากนี้ ยังพบว่าการนวดแผนไทยตามร้าน โดยเฉพาะการกดจุด เปิดปิดประตูลม บริเวณท้ายทอยนั้นจะปิดการทำงานของเส้นเลือดคู่หลังไม่ให้ส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง
สมองส่วนการรับจอภาพนั้นเกิดการมืดลง คนเราจะมองไม่เห็น เมื่อปล่อยถึงกลับมาสว่างว้าบอีกครั้ง ตรงนี้หากคนที่ความผิดปกติของเส้นเลือดอยู่แล้วหรือกดนานเกิดไป อาจจะทำให้เกิดภาวะตาบอดชั่วคราวนาน 2-3 วัน หรือในกรณีที่มีปัญหาเส้นเลือดตีบตันอยู่เดิมอาจจะทำให้เกิดภาวะตาบอดถาวรได้ และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงมานานแล้ว มีรายทั้งในวารสารต่างประเทศ และพบผู้ป่วยลักษณะดังกล่าวในประเทศไทยด้วยเช่นเดียวกัน
ดังนั้นหากไปนวดอาจจะต้องกำชับหมอนวดให้ละเว้นบริเวณท้ายทอยเอาไว้”
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าว

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวอีกว่า การบริหารคอที่เหมาะสมโดยไม่เป็นการทำร้ายเส้นเลือดหรือเส้นประสาทคือตั้งคอตรง หน้าตรง ดันศีรษะสู้กับฝ่ามือตัวเอง ทั้ง 4 ทิศ ซ้าย ขวา หน้า หลัง ถือเป็น 1 รอบ ตอนที่ดันคอจะอยู่กับที่ ไม่เคลื่อนที่ไปไหน จึงไม่กระทบกับเส้นเลือดและเส้นประสาท โดยควรทำเช่นนี้วันละประมาณ 20-30 รอบ ทำตอนไหนก็ได้ ไม่ต้องทำต่อเนื่องก็ได้
กลไกตรงนี้เมื่อดันแล้วจะทำให้กล้ามเนื้อคอแข็งแรง จากนั้น กล้ามเนื้อคอจะจัดกระดูกต่างๆ ให้เข้าที่ แต่ต้องใช้เวลา ทำสม่ำเสมอ
การดันคอ 4 ทิศ มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการที่ไปดึงคอเพื่อจัดกระดูก

“เรื่องนี้มีการตระหนักเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ในประเทศไทยยังไม่เชื่อ ดังนั้นการเปลี่ยนวิธีการทางการแพทย์ อาจจะทำได้ยาก แต่อาจจะเริ่มต้นจากทางเวชศาสตร์การกีฬา ครูพละศึกษา รวมถึงฟิตเนสด้วย ให้ละเว้นท่าหันคอ บิดคอ เอียงคออย่างซ้ำๆ แล้วเปลี่ยนมาเป็นการบริหารท่าที่แนะนำไปนั้น ถ้าเปลี่ยนรูปแบบได้ก็น่าจะเป็นผลดี ไม่ต้องรอให้เกิดเรื่องก่อนแล้วค่อยมาแก้”

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวในที่สุด

วันที่โพสข่าว : 25 มีค. 2558 เวลา 16:16 น.

Tuesday, March 24, 2015

ไม่ต้องกลัว. ผึ้ง แมลง. ต่อยอีกแล้ว........!!?

มะนาว..มะนาว...เป็นสิ่งมหัสจรรย์  เรื่องราวความรู้สุขภาพที่คุณต้องอ่าน

ที่บ้านคุณดาว อภิญญา   ดอยสะเก็ด ไม่เคยขาดมะนาวในตู้เย็นเลยค่ะ เพราะมะนาวเป็นสิ่งมหัศจรรย์  เวลาคนงาน หรือตัวคุณดาวโดนแมลงที่มีพิษต่อย  บ่อยมาก เพราะเราอยู่ บ้านป่า บ้านดอย  ก็จะใช้มะนาวบีบ น้ำมะนาวสดๆ ใส่ตรงแผลที่ถูกแมลงต่อย  ไม่ว่าจะเป็น (แตน ผึ้ง ต่อ หรือ งู หรือสัตว์ที่มีพิษต่อย  ) ให้บีบน้ำมะนาวใส่ตรงที่ถูกต่อย พิษแมลงจะกลายเป็นศูนย์ในทันที จะหายปวดภายใน 10 นาที และไม่บวม 

คุณดาวเคยถูกผึ้งต่อยหลายครั้ง ก็บีบน้ำมะนาวใส่ทันที บีบให้หมดทั้งลูก  หายปวดทันที เด็กคนงานที่บ้าน โดน" แตนหรือต่อ " ต่อยบ่อยมาก ก็ได้น้ำมะนาวช่วย  เดี๋ยวนี้ผึ้งมาทำรังที่บ้าน เด็กๆ คนงานคุณดาว เดินผ่านก็ไม่กลัว  แม้กระทั่งยุง หรือ มดคัน ก็ใช้น้ำมะนาวนะคะ 

มีเพื่อนคนหนึ่ง เค้าจะแพ้ แมลงตัวเล็กๆ ที่เรียกว่า ขุ้น เวลากัดจะเจ็บมาก และคัน เกาจนเวอะไปหมด เค้าหายามาทาหลายญี่ห้อ ก็ไม่หายคน  พอมาเล่าให้คุณดาวฟัง  ดาวบอกให้เค้าใช้ "น้ำมะนาวสดๆซิ "  เค้าก็ลองทำ  ปรากฎว่า ไม่คันเลย พอแมลงมากัด เค้าใช้น้ำมะนาวทาเข้าไปตรงที่แมลงกัด  หายคันภายใน 5 นาทีค่ะ

พิษแมลง โดนน้ำมะนาว  จากกรดจะเป็นด่างไปในทันที
 
ช่วยบอกต่อเพื่อ เป็น วิทยาทาน  
จากคุณดาว  อภิญญา  ที่บ้านอยู่กลางป่า  ไร่ภูเพชร อ.ป่าเมี่ยง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ เจ้าาาาา

โรคเก๊าท์ Gout (Gouty Arthritis)


โรคเก๊าท์ใครเป็นแล้วเจ็บปวดทรมานมาก ใช้เวลารักษานาน คุณทราบหรือไม่ว่าโรคเก๊าท์เกิดจากอะไร ป้องกันอย่างไร และรักษาอย่างไร?

โรคเก๊าท์คืออาการที่ร่างกายสะสมกรดยูริคในร่างกายปริมาณสูงมากเป็นเวลานาน จนเกิดการตกผลึกตามข้อกระดูก เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง และไต ส่งผลให้ข้อบวม และเจ็บปวดมาก

ปกติแล้วการที่กรดยูริคในร่างกายสูงนั้นไม่เป็นอันตราย หลายๆ ท่านที่มีกรดยูริคสูงก็ไม่เป็นเก๊าท์ แต่เมื่อกรดยูริคนั้นสูงมากเกินไปเป็นเวลานานๆ จะทำให้เกิดผลึก และเป็นเก๊าท์ ซึ่งอีกปัจจัยเร่งที่อาจทำให้เกิดเก๊าท์เกิดจากการบริโภคอาหารที่มีสาร ‘พิวริน’ สูง หรือกรดยูริคสูง

วิธีปฏิบัติตน 4 ข้อเพื่อป้องกันและรักษาเก๊าท์ดังนี้:

1. ดื่มน้ำใบย่านางคั้นสด หรือน้ำเปล่าผสมน้ำสกัดย่านาง (ซึ่งมีความเป็น ด่าง และ ฤทธิ์เย็น) เพื่อปรับสมดุล และดีท็อกซ์ร่างกาย

2. หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีพิวรินสูง เช่น ไก่ และทุกส่วนจากไก่ หอย ตับหมู ไข่ปลา กระถิน ชะอม

3. งดดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด รวมไปถึงชา กาแฟ น้ำอัดลม .. เครื่องดื่มเหล่านี้มีกรดสูง ซึ่งอาจจะไปกระตุ้นให้กรดยูริคในร่างกายสูงขึ้น

4. แนะนำให้หลีกเลี่ยงการทานอาหารฤทธิ์ร้อนทั้งหลาย และอาหารไขมันสูง ซึ่งไปยับยั้งการขับกรดยูริคออกจากร่างกาย

ผู้ป่วยโรคเก๊าท์หลายท่านได้ลองทำตามคำแนะนำนี้เป็นประจำ อาการโรคเก๊าท์ดีขึ้นอย่างมาก "คุณกินอย่างไร คุณก็จะเป็นอย่างนั้น" นะคะ

Thursday, March 19, 2015

หน้าเหี่ยว หน้าห้อย มานอนห้อยหัวกันดีกว่า


เมื่อเร็วๆ นี้มีคุณยายท่านหนึ่ง ถ้าดูตามอายุต้องเรียกท่านว่าคุณยาย เพราะอายุท่านเกิน
70 ปีแล้ว แต่ถ้าดูหน้าตา ผิวพรรณ อยากเรียกท่านว่าพี่มากกว่า เพราะดูยังไงก็ไม่เกิน 50 ปีค่ะ  ท่านมาทำฟันที่คลินิกทันตกรรมพาณิชย์ธน ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 13

หลังจากทำฟันเสร็จแล้ว ได้สนทนากับท่านเพราะหมอสงสัยมากว่า ทำไมอายุท่านมาก
แล้ว แต่ดูท่านไม่แก่ตามวัย

ท่านบอกหมอว่า ให้นอนเอาศีรษะห้อยลงเล็กน้อยวันละ 10 นาทีทุกวัน
เพื่อให้เลือดมาหล่อเลี้ยงศีรษะและใบหน้าค่ะ
วิธีการ(ไม่ได้นอนเอาหัวห้อยแบบค้างคาวนะคะ) แต่นอนราบบนเตียง ไม่หนุนหมอน
แล้วเอาศีรษะเลยขอบเตียงนิดหน่อย ให้ศีรษะห้อยจากขอบเตียงเล็กน้อยค่ะ ทำทุกวันอย่าให้เกิน 10 นาทีนะคะ

หมอฟังคำแนะนำจากท่านแล้ว เห็นว่า มีเหตุมีผลค่ะ เพราะถ้าเรานอนห้อยศีรษะนิดๆ
จะทำให้เลือดมาเลี้ยงใบหน้า ทำให้ผิวพรรณที่ใบหน้าเต่งตึงไม่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นค่ะ และสมองก็ได้เลือดมาเลี้ยงด้วย โอกาสเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาติ ก็ไม่มีค่ะ

 คุณยาย (อยากเรียกคุณพี่มากกว่า) ยังแนะนำต่อว่า ให้ทานผัก และ ผลไม้เป็น
ประจำด้วยค่ะ

ตอนนี้หมอได้นำเคล็ดลับของคุณยายมาปฎิบัติแล้วค่ะ ก่อนนอนทุกคืนหมอจะทำอย่างที่คุณ
ยายแนะนำคือ นอนราบไม่หนุนหมอน และห้อยศีรษะเล็กน้อยไม่เกิน 10 นาที เท่าที่ปฎิบัติมาเกือบเดือน รู้สีกว่า หน้าตาผิวพรรณ ดีขึ้นมากค่ะ

ข้อดีของการห้อยหัว

การนอนห้อยหัว จะเป็นการย้อนแรงโน้มถ่วงของโลก ช่วยเรื่องการยกหน้า หรือ Face Lift ขณะที่เรานอนห้อยหัวอยู่ ซึ่งจะช่วยให้ใบหน้าได้รับออกซิเจน และสารอาหารที่จำเป็นเพิ่มขึ้น จึงเป็นการช่วยให้ผิวหน้าเปล่งปลั่ง มีเลือดฝาด

2. การนอนห้อยหัว จะเพิ่มสารอาหารและการไหลเวียนของเลือดมาที่บริเวณหนังศีรษะ จะช่วยลดการเกิดผมหงอก ผมขาว และยังอาจจะช่วยให้ผมที่หงอกกลับมาเป็นสีธรรมชาติอีกด้วย

3. การนอนห้อยหัว จะไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปที่ต่อม pituitary and  hypothalamus ซึ่งต่อมดังกล่าวมีความสำคัญต่อร่างกายในการดำรงชีวิต และเป็นต่อมสำคัญที่จะไปควบคุมการทำงานของต่อมอื่นๆ ในร่างกาย เช่น ต่อมไธรอยด์ ต่อม Pineal และต่อม Adrenals เป็นต้น รวมถึงควบคุมฮอร์โมนเพศด้วย ซึ่งก็จะส่งผลต่อเรื่องนี้ในทางที่ดีขึ้น

4. การนอนห้อยหัว จะไปช่วย detox และกระตุ้นต่อม Adrenal ที่จะส่งผลต่อความรู้สึก ให้เรามีความคิดในแง่บวกมากขึ้น มองโลกในแง่ดีขึ้น ความรู้สึกหดหู่ เศร้าหมองต่างๆ จะลดลง

คำเตือน **
สำหรับผู้สูงวัย ที่เส้นเลือดไม่แข็งแรง เพื่อความปลอดภัย ควรปรึกษาแพทย์ดูก่อนว่า สามารถนอนห้อยหัวได้หรือไม่ และเมื่อนอนห้อยหัวครบเวลาแล้ว อย่ารีบลุกพรวดพราด ให้เอาศีรษะกลับมาที่เตียงก่อน เพื่อให้เกิดการปรับตัวชั่วครู่ก่อนจะลุกไปไหนต่อไหนนะคะ

อันตรายจากเส้นก๋วยเตี๋ยว


รู้แล้วรีบบอกต่อค่ะ
อันตรายจากเส้นเล็กและเส้นหมี่ ถ้ารับประทานมากๆ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคตับและโรคไตสูง ผลวิจัยชี้เส้นก๋วยเตี๋ยวมหาภัย เติมสารกันบูดเกินมาตรฐานอื้อโดยเฉพาะเส้นเล็กและเส้นหมี่ เสี่ยงตับไตพังได้ อ่านแล้วน่ากลัวจริง ๆ ค่ะ ความจริงเป็นอย่างไร มาอ่านต่อกันค่ะ....

เผยบะหมี่เหลือง-วุ้นเส้นปลอดภัยกว่า แนะผู้ประกอบการอย่าโลภผลิตขายข้ามจังหวัดจนต้องใส่สารกันบูด จำนวนมาก ก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารที่คนไทยนิยมบริโภค และเส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นวัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหารได้หลายชนิด ทำให้มีการแข่งขันทางการตลาดสูง จากก๋วยเตี๋ยวส่วนใหญ่เป็นเส้นสดที่ค้างหลายวันไม่ได้ ผู้ประกอบการจึงมีการเติมสารกันบูด เพื่อยืดอายุเส้นก๋วยเตี๋ยว ทำให้ยืดระยะเวลาการจำหน่าย ซึ่งสารกันบูดที่นิยมใช้คือ กรดเบนโซอิกและกรดซอร์บิก (เป็นสารเคมีที่ใช้กันบูดทั่วไป)

ถ้าร่างกายได้รับปริมาณสูงเป็นเวลานานจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตลดลง ดังนั้น คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานอาหารสากล (Codex) ได้กำหนดให้ใช้กรดเบนโซอิกในเส้นก๋วยเตี๋ยวได้ไม่เกิน 1,000มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (มีผลสำรวจว่า คนเป็นโรคไตเรื้อรัง นิยมทานก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ด้วยค่ะ.. แต่ไม่ยอมให้เผยแพร่บทความนี้)

ผลการตรวจวิเคราะห์พบปริมาณกรดเบนโซอิกตั้งแต่ 1,079-17,250มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณที่กำหนดกรดเบนโซอิกในเส้นก๋วยเตี๋ยวตามมาตรฐานสากล
โดย
ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก 17,250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม 
เส้นหมี่ 7,825 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม 
ก๋วยจั๊บเส้นใหญ่ 7,358 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม 
ก๋วยจั๊บเส้นเล็ก 6,305มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม 
บะหมี่โซบะ 4,593 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม 
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ 4,230 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์กล่าวว่า จากผลวิจัยดังกล่าวทำให้ความเชื่อเดิม ที่คิดว่าเส้นหมี่ ซึ่งมีลักษณะแห้งจะมีวัตถุกันเสียน้อย แต่จะพบมากในเส้นใหญ่ที่มีความชื้นสูงนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่า กลับมีการใส่วัตถุกันเสียเยอะมากเป็นอันดับ 2 รองจากเส้นเล็ก ดังนั้น ผู้ที่ชื่นชอบทานก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่และเส้นเล็ก ไม่ควรทานอย่างต่อเนื่องเพราะอาจทำให้เกิดการสะสมสารพิษได้ค่ะ

***ส่วนเส้นที่ไม่พบสารเลยคือ เส้นบะหมี่เหลืองเพราะผลิตจากแป้งสาลี ส่วนเส้นอื่นๆ จะผลิตจากแป้งข้าวเจ้า* ที่มีความชื้นสูง ทำให้ราขึ้นง่าย จึงมีการใส่วัตถุกันเสีย ขณะที่วุ้นเส้นไม่มีปัญหาเช่นกัน

รู้แล้วบอกต่อๆ กันนะคะ
ขอสุขภาพดีจงมีแด่ผู้อ่านบล็อกนี้ทุกท่านค่ะ

Wednesday, March 18, 2015

กล้วยแบบไหนทานแล้วให้ประโยชน์สูงสุด?


กล้วยแปดลูกนี้ลูกไหนมีสรรพคุณเด็ดสุด พบคำตอบที่คุณจะต้องนึกไม่ถึงเชียวล่ะ

จากการวิจัยพบว่า กล้วยที่สุกจนเปลือกมีจุดดำๆ นั้น มีฤทธิ์ในการต้านทานเชื้อเอดส์ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกและเพิ่มประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันในร่างกาย

การวิจัยในประเทศญี่ปุ่นยังบอกอีกว่า กล้วยสามารถสร้างสารที่มีฤทธิ์ทำลายเซลล์เนื้อร้าย อีกทั้งเพิ่มภูมิคุ้มกันได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นกล้วยยิ่งสุกเท่าไหร่ความสามารถในการต้านมะเร็งก็จะมากขึ้นด้วย

ยังไม่พอ!!

ผลของการวิจัยยังระบุอีกว่า รับประทานกล้วยเพียงสองลูกก็จะสามารถออกกำลังกายอย่างหนักได้ต่อเนื่องนานถึง 90 นาที เลยทีเดียว

นอกจากกล้วยจะเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานแล้ว ยังสามารถช่วยรักษาโรคและอาการเจ็บป่วยต่างๆ ได้อีกด้วย ดังนั้น เราจึงควรเพิ่มกล้วยเข้าไปในเมนูเป็นประจำทุกๆ วัน

เพราะฉะนั้น คำตอบก็คือ กล้วยหมายเลข8นี่เอง... มีใครตอบถูกบ้างเอ่ย?

Saturday, March 7, 2015

สิ่งควรรู้ก่อนขึ้นเตียง

..มีคนจำนวนมาก กลางวันไม่เป็นอะไร แต่พอกลางคืน กลับเสียชีวิต  เนื่องจากกลางคืนลุกจากที่นอนไปเข้าห้องน้ำเร็วเกินไป การลุกจากที่นอนอย่างกระทันหันทำให้ขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง ความดันโลหิตลดต่ำ จนวิงเวียนล้มลงไป บางคนถึงกับกระดูกกะโหลกศีรษะแตก

ส่วนบางคน...หัวใจมีปัญหา กลางวันเต้นเป็นปกติ แต่กลางคืนกลับขาดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจหดตัวเนื่องจากลุกจากที่นอนอย่าง กระทันหัน ความดันโลหิตลดต่ำลงขาดเลือด ไปเลี้ยงสมอง หัวใจก็หยุดเต้นได้
ถึงแม้จะไม่เสียชีวิตก็กลายเป็นโรคอัมพฤกษ์ไปก็มี

นักวิทยาศาสตร์ มักจะย้ำประโยคหนึ่งอยู่เสมอๆ ว่า
“ครึ่งนาที 3 อย่าง และครึ่งชั่วโมง 3 อย่าง“

วลีนี้เป็นวลีสำคัญ ที่ไม่ต้องเสียเงินหามา แต่ช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตได้ เป็นจำนวนมาก

ครึ่งนาที 3 อย่าง หมายถึง

1.เมื่อตื่นนอนขึ้นมาแล้ว อย่าลุกจากที่นอนในทันที ให้นอนไว้ก่อนครึ่งนาที
2.เมื่อนั่งขึ้นมาก็ให้นั่งอีกครึ่งนาที
3.แล้วเอาขาทอดไว้ที่พื้นอีกครึ่งนาที

ส่วนครึ่งชั่วโมง 3 อย่าง หมายถึง

1. ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ควรออกกำลังกายครึ่งชั่วโมง (หนักเบา แล้วแต่ละบุคคล)
2. ตอนเที่ยง ควรนอนกลางวัน ประมาณ ครึ่งชั่วโมง ตอนบ่ายจะมีพละกำลังเต็มที่ (เพราะผู้สูงอายุมักจะตื่นนอนแต่เช้า กลางวันจึง ควรพักผ่อนให้มาก)
3. ตอนเย็น ผู้สูงอายุควรเดินช้าๆ สักครึ่งชั่วโมง
จะทำให้ตอนกลางคืนหลับสบาย สามารถลดอัตรา
การเป็นโรคที่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจตีบและความ
ดัน โลหิตสูงได้

ขอให้ส่งต่อญาติสนิทมิตรสหาย
เพราะว่าความรู้นี้ สอนคนได้ ช่วยคนก็ได้
4วิธีง่ายๆในการปฐมพยาบาลดังข้างล่างนี้
1.สำลักอาหาร
วิธีจัดการ----แค่ยกมือขึ้นไป
2 ตกหมอน
คุณเคยตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วพบว่าตัวเองตกหมอนนั้น
ก็คือปวดคอ ถ้าหากตกหมอน คุณควรทำอย่างไร
ถ้าหากตกหมอน แค่ยกขาขึ้นมา
จับนิ้วโป้งของเท้า
ค่อยๆนวดและหมุนตามเข็มนาฬิกาหรือทวนเข็มนาฬิกา
3. ขาเป็นตะคริว
เวลาขาซ้ายเป็นตะคริว  ให้ยกมือขวาขึ้นสูงๆ
เวลาขาขวาเป็นตะคริว ให้ยกมือซ้ายขึ้นสูงๆ จะรู้สึกสบายผ่อนคลายทันที
4.  ขาชา
ถ้าขาซ้ายชา
สบัดมือขวาจากช้าไปหาเร็ว
ถ้าขาขวาชา
ก็สบัดมือซ้ายจากช้าไปเร็ว
ช่วยส่งต่อเถอะ ได้บุญกุศลมากมาย

รักนะ...... จึงห่วงใย....󾬌