Sunday, December 15, 2013

อันตรายจากน้ำแช่เห็ดหอม


วันนี้ บังเอิญเจอข้อมูลเกี่ยวกับเห็ดหอม เราหลายคนคงเคยกินเห็ดหอมมาแล้ว เห็ดหอมสดค่อยข้างหายาก และเก็บได้ไม่นาน จึงมักซื้อเห็ดหอมแห้ง ( dry mushroom) มาทานกัน  ซึ่งก่อนทาน เราก็ต้องนำเห็ดหอมแห้งมาแช่น้ำก่อน และน้ำแช่เห็ดหอม เราก็จะเก็บไว้ และเอามาทำน้ำซุป ห้อม หอม

แต่ ระวัง อันตรายจากน้ำแช่เห็ดหอม!!!

เพื่อสุขภาพของท่านเอง บอกต่อกันไปด้วย อันตรายจากน้ำแช่เห็ดหอม!!! สารเคมีเกือบทุกชนิดที่มีผลต่อร่างกาย อยู่ที่ผิวของเห็ดหอม  ที่มีผู้แนะนำให้ทิ้งน้ำแช่เห็ดน่ะ ถูกต้องแล้ว ช่วยกันให้ข้อมูลกับแม่ค้าและร้านอาหารด้วย ให้ระวัง เห็ดหอมแห้ง ( dry mushroom) !!!

เพราะ เขาชุบ หรือ พ่นคาร์บอนไดซัลไฟด์ ซึ่งเป็นสารเคมีที่อันตรายมาก อย่าเสียดาย อย่านำน้ำแช่เห็ดหอมมาใช้ในการปรุงอาหาร ให้เททิ้งทันที

ส่วนใหญ่เห็ดหอมที่ใช้กันนั้น มักนำเข้ามาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งอุดมไปด้วยสารหนัก กรด เกลือกำมะถันต่าง ๆ และอื่น ๆ ซึ่งเราไม่ทราบว่าใช้อะไรบ้างกว่าจะถึงมือเรา สารต่าง ๆ เหล่านั้น มาจากน้ำจากปุ๋ยที่เพาะเลี้ยงในฟาร์มหรือรม เพื่อกำจัด และป้องกันแมลง อันตราย!!

จงเทน้ำแช่เห็ดหอมแห้ง ทิ้งไป ช่วยกันบอกต่อให้แม่บ้าน แม่ครัว ภรรยา ลูกสาว..รวมทั้งพ่อบ้านที่ชอบทำอาหาร ให้ทราบข้อมูลนี้ด้วย เพื่อความปลอดภัยของเราเอง

Thursday, November 7, 2013

8 เคล็ดลับเลี่ยงการใช้ยาโดยไม่จำเป็น


วิธีดูแลตัวเองง่าย ๆ ต่อไปนี้อาจช่วยให้คุณมีสุขภาพดีกว่าการใช้ยาเสียอีก

1.ไอ

แทนที่จะใช้ยาน้ำแก้ไอ ลองกินน้ำผึ้ง

ลองใช้น้ำผึ้งจากบัควีท ซึ่งมีสีเข้มกว่าและมีสารด้านอนุมูลอิสระมากกว่าชนิดใส (นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารด้านอนุมูลอิสระมีสรรพคุณป้องกันโรคหัวใจและ มะเร็ง) จิบครั้งละสองช้อนชา เมื่อต้องการระงับอาการไอ เช่น ก่อนนอนหรือก่อนเข้าห้องประชุม ไม่จำเป็นต้องระงับอาการไอจนหยุดสนิท การไอชนิดนี้มีเสมหะช่วงกลางวัน จึงมีประโยชน์ในการขับเสมหะออกจากปอด

2.ปวดหลัง

แทนที่จะใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์หรือพาราเซตามอล ลองฝึกโยคะ

อาสาสมัครในการศึกษาได้ฝึกโยคะนาน 75 นาที สัปดาห์ละครั้ง โดยฝึกท่างูเห่า ท่ากงล้อ ท่าสะพานโค้ง ท่าผีเสื้อ และท่านักรบ เป็นหลัก ดร.คาเรน เชอร์แมน นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันวิจัยสุขภาพในซีแอตเทิล กล่าวว่า ท่าโยคะ เหล่านี้นอกจากจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นแล้ว ยังช่วยให้คุณเพิ่มความระมัดระวังในการเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งเป็นการป้องกันมีให้เสี่ยงต่ออาการปวดหลังซ้ำอีกครั้ง

3.ปวดศีรษะเป็นประจำ

แทนที่จะใช้ยาแก้ปวด ลองกินยาน้อยลง และนอนหลับมากขึ้น

หมอโกดส์บายแนะนำให้หลีกเลี่ยงยาที่ประกอบด้วยตัวยาหลายประเภท รวมทั้งพยายามใช้ยาแก้ปวดให้น้อยที่สุด แต่ไม่ควรทนปวดนานเกินหนึ่งสัปดาห์ ขั้นต่อมาคือการรักษาอาการปวดด้วยการนอนหลับ คุณหมอเพิ่มเติมว่า สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดศีรษะเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ วิธีปฏิบัติคือฝึกนอนหลับตามเวลาที่กำหนดไว้ วิธีนี้จะช่วยให้อาการปวดศีรษะของคุณค่อยๆ บรรเทาลงได้

4.ซึมเศร้า

แทนที่จะกินยาต้านซึมเศร้า ลองใช้วิธีฝึกฝนสมอง

ลองบำบัดกระบวนความคิดโดยใช้สติ เช่น “การกำหนดลมหายใจภายใน 3 นาที” เป็นวิธีที่ดีสำหรับหยุดยั้งความคิดด้านลบที่วนเวียนอยู่ในหัว วิธีปฏิบัติให้เริ่มด้วยกันตระหนักรู้ถึงความรู้สึกของร่างกายที่เกิดขึ้น อยู่ในขณะนี้ จากนั้นพยายามเบนความสนใจให้เพ่งอยู่กับลมหายใจ ณ ปัจจุบัน ในที่สุดสติและความคิดทั้งหมดของคุณจะกลับมาจอจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า-ออก

5.นอนไม่หลับ

แทนที่จะกินยานอนหลับ ลองนอนดึกบ้างในบางคืน

หากคุณเข้านอนเป็นประจำเวลา 4 ทุ่ม แต่นอนไม่หลับจนต้องพลิกไปมาถึงตี 1 ให้ลองเปลี่ยนเป็นเริ่มนอนเวลาตี 1 และตื่นเช้าในเวลาเดิม หมอริทเทอร์แบนด์บอกว่า “ดูเหมือนว่าวิธีนี้อาจทำให้คุณมีเวลานอนลดน้อยลง แต่มันจะทำให้คุณหลับง่าย และสนิทขึ้นในคืนถัดไป” หลังจากใช้วิธีนี้ประมาณสองหรือสามสัปดาห์ ลองเลื่อนเวลาเข้านอนให้เร็วขึ้นครั้งละ 20 นาที แล้วสังเกตความเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ เพื่อปรับเวลานอนให้กลับมาเป็นเช่นเดิม


6.ท้องผูก

แทนที่จะกินยาระบาย ลองหันมาพึ่งน้ำ

ด้วยการดื่มน้ำสองแก้วเต็มก่อนอาหารเช้า เพื่อเพิ่มน้ำในลำไส้ใหญ่ ทำให้อุจจาระพองตัวและขับถ่ายออกได้ง่าย การกินกล้วยหรือแอปเปิ้ล ช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้เช่นกัน “กากใยจากผลไม้เหล่านี้ทำให้อุจจาระพองตัวและกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวเป็น จังหวะได้ดี” นพ.อะบรามสันกล่าว “ยาระบายหลายชนิดมีฤทธิ์ระคายเคืองลำไส้ คุณสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ได้ด้วยการกินผลไม้แทน”

7.โรคหอบหืดและภูมิแพ้

แทนที่จะกินยาเป็นประจำ ลองใช้เครื่องกรองอากาศ

การติดตั้งแผ่นกรองอากาศให้กับระบบปรับอากาศทั้งบ้านมีค่าใช้จ่ายค่อนข้าง สูง ประมาณ 27,000 ถึง 36,000 บาท คุณอาจลองซื้อเครื่องฟอกอากาศที่มีไส้กรองเฮปา (Hepa) มาวางในห้องนอนของคุณ ซึ่งเป็นห้องที่คุณใช้เวลาอยู่นานที่สุด สนนราคาโดยเฉลี่ยไม่เกิน 4,000 บาท แต่ประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการใช้งานในห้องเดียว

8.ไข้หวัดใหญ่

แทนที่จะกินยาต้านไวรัส ลองเพิ่มความชื้นในบ้าน

ในช่วงที่มีไข้หวัดใหญ่ระบาด ไมแอตต์แนะนำให้วางเครื่องทำความชื้นไว้ในห้อง นอนตั้งระดับความขึ้นที่ร้อยละ 50 รุ่นที่คุณภาพสูงอาจมีรังสียูวี หรือไส้กรองพิเศษที่ช่วยกำจัดเชื้อโรค ประโยชน์อีก ข้อหนึ่งที่คุณจะได้รับก็คือ ผิวพรรณชุ่มชื้นไม่แห้งเป็นขุย

แปลและเรียบเรียงโดย นพ.กิจจา ฤดีขจร

Friday, November 1, 2013

อ้วน-กลม-หนา เพราะชานมไข่มุก


เวลาไปเดินตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ในเมืองไทย หมอจะสังเกตเห็นร้านสองประเภทกระจายตัวอยู่แทบทุกชั้นทุกมุมของห้าง หนึ่งคือร้านขายกาแฟ สองคือร้านขายชานมไข่มุก จนชวนให้คิดว่า คนไทยเรานี่ขี้เซาน่าดู ต้องปลุกตัวเองด้วยคาเฟอีนและน้ำตาลกันตลอดเวลาทุกเพศทุกวัย

การบุกตลาดของชานมไข่มุกในเมืองไทยมีมาหลายปีแล้ว สูตรต่างๆ รูปแบบแก้วและแบรนด์ที่ขายดีเปลี่ยนไปบ้างในแต่ละปี แต่ส่วนประกอบหลักคือ ชา ครีมเทียม น้ำตาล และไข่มุก ไม่เปลี่ยนแปลง การที่ชานมไข่มุกฮ็อทฮิตมากนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาติ แต่มีหลักการทางวิทยาศาสตร์อธิบายได้ด้วย เพราะชานมไข่มุกเป็นเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและไขมันสูง ซึ่งสมองของคนเรานั้น หากถูกอาหารใดกระตุ้นด้วยความหวาน ความมัน หรือ ความเค็ม สมองจะชอบใจในอาหารนั้นๆ และเข้าใจไปว่าอาหารนั้นอร่อย อยากจะหามารับประทานบ่อยๆ ยิ่งถ้ามีคาเฟอีนจากชาผสมอยู่ด้วย ก็จะยิ่งทำให้สมองติดใจได้ง่ายขึ้นไปอีก

นอกจากความหวาน ความมัน และคาเฟอีนในชานมไข่มุกที่เล่นกลหลอกให้สมองเราติดใจแล้ว การนำเสนอที่ชวนให้เราคิดว่า ชานมไข่มุกเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ก็ยิ่งเป็นการสับขาหลอกให้คนที่อยากลดน้ำหนักเลือกรับประทาน หลายคนเลือกที่จะดื่มชานมไข่มุกแทนอาหาร เพราะคิดว่าจะช่วยลดน้ำหนัก แต่แท้จริงแล้ว รับประทานเกาเหลาไปทั้งชามยังอ้วนน้อยกว่าเสียอีก!

แคลอรี่ในชานมไข่มุกแต่ละแก้วนั้นต่างกันไป หลากหลายตั้งแต่ 200 ไปจนถึง 400 กิโลแคลอรี่ ที่เด็ดคือปริมาณน้ำตาลซึ่งหนักข้อตั้งแต่ 8 ไปจนถึง 11 ช้อนชาต่อแก้ว (โดยทั่วไป ในหนึ่งวัน เราไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกินกว่า 6 ช้อนชาในผู้หญิง และ 9 ช้อนชาในผู้ชาย) ปริมาณไขมันอิ่มตัวจากนมที่ใส่ร่วมไปก็ไม่น้อย หลายสูตรใส่เป็นครีมเทียมซึ่งมีไขมันทรานส์ ไขมันทรานส์เป็นไขมันที่อันตรายต่อสุขภาพยิ่งกว่าไขมันใดๆ เพราะนอกจากจะเพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจแล้ว ยังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งอีกด้วย

สำหรับตัวไข่มุกนั้น จริงๆควรเรียกว่า แป้งเม็ด มากกว่า เพราะทำจากมันสำปะหลังต้มกับน้ำตาล แคลอรี่ต่างกันไปตามแต่ละสูตรตั้งแต่ 2 - 4 กิโลแคลอรี่ต่อเม็ด ไม่มีคุณค่าสารอาหารเช่น วิตามิน แร่ธาตุ หรือสารต้านอนุมูลอิสระใดๆ

สรุปแล้วเมื่อคุณเสียเงินไปหลาย 10 บาทเพื่อซื้อชานมไข่มุกหนึ่งแก้วนั้น สิ่งที่ได้รับคือ พลังงานที่เกือบจะเทียบเท่าข้าวหนึ่งจาน น้ำตาลที่เกินเกณฑ์กำหนดต่อหนึ่งวัน ไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ คาร์โบไฮเดรต และคาเฟอีน ทั้งหมดเป็นสูตรสำเร็จซึ่งก่อให้เกิดผลลัพธ์ 3 ประการคือ อ้วน แก่ และเสพติด!!

ที่มา : เครือข่ายคนไทยไร้พุง ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย โดย พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล (หมอผิง)

Tuesday, October 22, 2013

อันตรายจากชาเขียวเย็น


คนญี่ปุ่นจึงไม่ดื่มชาเขียวแช่เย็นอย่างเด็ดขาด  เรื่องจริงที่คนไทยไม่รู้...

ชาเขียว เป็นชาที่คนญี่ปุ่นรู้จักกันมานานกว่า 100 ปี  ในขณะที่คนไทยเพิ่งรู้จักกันไม่เกิน 10 ปีมานี้เอง

ชาเขียว เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมอีกชนิดของชาวญี่ปุ่นที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ มีประวัติการดื่มกันมาเป็นพันๆปี หลายคนจึงให้ความสำคัญจนกลายเป็นที่นิยม และมีการนำชาเขียวมาแปรรูปหรือเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมายในท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็น อาหาร เครื่องดื่ม ขนม ลูกอม หมากฝรั่ง ไปจนถึงผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความสวยความงามทั้งหลาย นอกเหนือจากการเป็นเครื่องดื่มแก้กระหาย แก้ง่วง แล้วยังพบว่าชาสามารถแก้ได้สารพัดโรค เพราะชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของร่างกาย ต้านอาการอักเสบ ต้านเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ ป้องกันตับจากสารพิษและโรคมากมายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ

คนญี่ปุ่นนิยมดื่มชาเขียวร้อนร้อนกัน  เพราะได้พิสูจน์แล้วว่าชาเขียวร้อนมีคุณสมบัติลดอนุมูลอิสระที่เป็นพิษในร่างกายคนเราให้ขับออกมาทางอุจจาระ และขับไขมันส่วนเกินออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระ  ชาเขียวชึ่งทำให้ร่างกายสามารถขับพิษและลดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย อันเป็นคุณสมบัติเฉพาะของชาเขียวร้อน ที่คนญี่ปุ่นนิยมดื่มกันตั้งแต่เด็กจนแก่

แต่....คนไทย นิยมดื่มชาเขียวแช่เย็น  ซึ่งคนไทยส่วนมากไม่เคยรู้จักคุณสมบัติที่แท้จริงของชาเขียวเลย  ทำให้คนญี่ปุ่นรุ้สึกขบขันในใจแถมหัวเราะเยาะในใจว่าในอนาคตอันใกล้นี้ คนไทยจะมีร่างกายที่อ่อนแอกว่าคนญี่ปุ่น  เพราะอะไรงั้นหรือ...เพราะว่าชาเขียวที่มีคุณอนันต์นั้น ย่อมมีโทษมหันต์เช่นกัน เพราะชาเขียว จะมีประโยชน์ต่อร่างกายในขณะที่ร้อนอยู่เท่านั้น ในทางกลับกันหากดื่มชาเขียวตอนที่เย็น  แล้วกลับทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย กล่าวคือ การดื่มชาเขียวแช่เย็น  นอกจากไม่ช่วยในการลดอนุมูลอิสระสารพิษออกจากร่างกายได้แล้วยังก่อให้เกิดการเกาะตัวแน่นของสารพิษดังกล่าวอันเป็นสาเหตุของมะเร็ง

นอกจากนี้ ชาเขียวเย็นยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และอุดตันตามผนังลำไส้  ทำให้เกิดโรคร้ายตามมา อาทิเช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งลำไส้ เส้นเลือดตีบ ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น เรายังมีการทดสอบให้เห็นอย่างง่ายๆ และชัดเจนเกี่ยวกับอันตรายที่กล่าวมาเบื้องต้นนี้ให้ท่านเห็นได้ด้วยตนเอง โดยการนำชาเขียวแช่เย็น ยิ่งเย็นยิ่งเห็นชัด นำมาเทลงในชามก๊วยเตี๊ยว จะพบว่าหลังจากเทชาเขียวแช่เย็นลงไปได้ครู่เดียว จะมีคราบไขมันลอยเห็นเป็นคราบบนน้ำซุปหรือเกาะเป็นคราบที่ชามก๊วยเตี๊ยวทันที แล้วร่างกายท่านล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อดื่มชาเขียวแช่เย็นเข้าไป...........สยองไหมละ

ทราบกันอย่างนี้แล้ว คอชาเขียวทั้งหลายต้องเปลี่ยนความคิดกันใหม่ได้แล้วนะคะว่า ดื่มชาร้อน ไม่ใส่นม ได้ประโยชน์สูงสุดค่ะ อ่านมาถึงตรงนี้ ใครที่ชอบดื่มชาเขียวเย็นเป็นขวดๆที่มีขายมากมายในท้องตลาดนั้น น่าจะทราบแล้วว่าเราคงไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในชาเขียวเลย คงได้แค่เพียงพลังงานจากน้ำตาล ที่อาจมากเกินไป และสารเคมีที่ใช้ในการแต่งสี กลิ่น รส เพียงเท่านั้น

ดังนั้นคนญี่ปุ่นจึงไม่ดื่มชาเขียวแช่เย็นอย่างเด็ดขาด แต่จะดื่มชาเขียวร้อนอย่างชาญฉลาด ยังไม่รวมอันตรายจากน้ำตาลอีกด้วย

You are what you eat จะเลือกทานอะไรให้ได้ประโยชน์ คิดก่อนเลือกทานกันนะคะ

Friday, September 13, 2013

ความรู้เรื่องมะเร็ง


หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะ ลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆ อีก ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์

1. ทุกๆ คนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น

2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆ หนึ่ง

3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก

4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆ นั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆ ในการดำรงชีวิต

5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น

6. การทำคีโม คือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ

7. การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ

8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆ พบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก

9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆ นั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย

11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว

อะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง

a. น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น นิวตร้าสวีต อีควล สปูนฟูล ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือ น้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆ เท่านั้น เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ แบรก อมิโน หรือเกลือทะเลแทน

b. นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร

c. เซลมะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่แทนเนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง

d. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมทราบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C)

e. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และชอกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง

12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น

13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น

14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ( สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆ เช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป

15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุก และ การคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง.... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต

16. เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆ จะช่วยให้ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับเซล การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง

นี่คือเรื่องที่คุณควรส่งออกไปให้คนที่มีความสำคัญกับชีวิตคุณได้รับรู้รับทราบ

Wednesday, September 11, 2013

เทคนิคน่ารู้ ทานยาอย่างไรให้ปลอดภัย


แพทย์แนะวิธีจัดยากิน 5 วิธีปลอดภัย เผยคนไข้กินยามากเสี่ยงทั้งพิษจากยาและฤทธิ์ยาตีกัน แนะให้รู้จักกินยาถูกกับโรคที่เป็นจะทำให้ยามีประสิทธิภาพสูงสุด

นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ภายใต้ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (ทีเซลส์) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวแสดงความห่วงใยการบริโภคยาที่มากเกินความจำเป็น ว่า ปัจจุบันมียาจำนวนมากและยาหลายชนิดมีฤทธิ์ซ้ำและก้ำกึ่งกัน เช่น ยาลดไข้ก็สามารถแก้ปวดได้ หรือยาละลายลิ่มเลือดก็แก้ปวดได้ด้วย ทำให้เกิดปัญหายาเป็นพิษ ปัญหานี้มักพบได้กับคนที่ใช้ยาเยอะอยู่แล้ว หรือมียาประจำตัวอยู่แล้ว ต่อไปก็จะเจอปัญหาสับสนกับการใช้ยาเพราะประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมอุดมยา

"กฎข้อห้ามข้อหนึ่งคือการกินยายิ่งมาก ยิ่งเสี่ยงมาก ทั้งพิษจากยาและยาออกฤทธิ์ตีกัน อีกข้อหนึ่งคือ กินยามากไม่ได้ช่วยให้หายมากขึ้น ตรงข้ามอาจทำให้ตับวายมากกว่า" น.พ.กฤษดากล่าว

น.พ.กฤษดากล่าวว่า เพื่อระงับปัญหาจากการกินยามาก เวชศาสตร์อายุรวัฒน์มี 5 เทคนิคจัดโปรแกรมกินยาไม่สับสน แบบง่ายๆ สำหรับคนกินยาเยอะ คือ

1. แยกยาเป็นชนิดเขียนชื่อกำกับไว้ให้ชัดเจน
2. เขียนฉลากโดยเขียนฤทธิ์ยาสั้นๆ ติดไว้ พร้อมวิธีรับประทาน
3. ใช้ตลับแบ่งยา ข้อนี้ช่วยคนกินยาเยอะไม่ให้กินยาซ้ำ เช่น ยาละลายลิ่มเลือดหากกินซ้ำเข้าไปก็อาจทำให้ตกเลือดจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
4. พกยาติดตัวไปหาหมอเพื่อไม่ให้เกิดการจ่ายยาซ้ำ
5. คือขอให้ถามหากสงสัย โดยเฉพาะเรื่องของยาซ้ำ ให้ถามแพทย์หรือเภสัชกร

ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์ กล่าวว่า จากประสบการณ์การรักษาคนไข้ ได้รับคำถามมากมายเกี่ยวกับภาษาทางเคมีและปฏิกิริยาในทางเภสัชวิทยา ทำให้เกิดความสับสนในเรื่องของการใช้ยา คือ ยาลดความดันกับยาโรคหัวใจ ยากลุ่มนี้มีอยู่มากบางตัวลดความดันและทำให้หัวใจเต้นช้าลง แต่ถ้ารับประทานผิดคือซ้ำซ้อนจนทำให้มากเกินไปอาจทำให้ หัวใจเต้นช้า มึนศีรษะ หน้ามืด เหนื่อยไม่รู้สาเหตุ ยิ่งกว่านั้นถ้าเป็นภูมิแพ้หอบหืดอยู่จะถึงขั้นหลอดลมตีบเสียชีวิตได้

าลดไขมันคอเลสเตอรอลกับยาลดไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ ถูกเรียกให้สับสนว่า “ยาลดไขมัน” เหมือนๆ กัน การรับประทานที่มากเกินไปและต่อเนื่อง อาจจะส่งผลให้มึนศรีษะ ไม่สบายตัว ปวดตามร่างกายและทำให้ตับทำงานหนักถึงขั้นเสื่อมเร็วได้ ยาแก้ปวดกับ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาประเภทนี้มักถูกจ่ายคู่กันซึ่งในหลายครั้งไม่จำเป็นต้องกินควบเลย เพราะการได้รับมากไปใช่ว่าจะทำให้ดีขึ้น หลักง่ายคือห้ามคิดว่า ปวดมากต้องกินยามาก อันนี้จะอันตรายหนักขึ้น

 ยาแก้แพ้กับยาแก้หวัด เป็นยาที่ถูกจ่ายบ่อยมากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มีหลักง่ายคือ ยาแก้แพ้บางชนิดไม่ใช่ยาแก้หวัด และยาแก้หวัดบางชนิดก็ไม่อาจแก้แพ้ได้ ข้อสำคัญคืออย่าใช้ซ้ำซ้อนกันมาก หากเป็นหวัดไปหาคุณหมอขอให้บอกว่าท่านใช้ยาเหล่านี้อยู่ครับจะได้ไม่ถูกจ่าย ยาซ้ำ

ยาแก้อักเสบกับยาฆ่าเชื้อ (ยาปฏิชีวนะ) ยา 2 ชนิดนี้ไม่ใช่ยาตัวเดียวกันเลย แต่ถูกจับมาเรียกจนคุ้นปากคุ้นหู ขอให้ทราบว่ายาแก้อักเสบมีอยู่กว้างมากและฆ่าเชื้อไม่ได้  ส่วนยาฆ่าเชื้อนั้นก็ใช่ว่าจะแก้อักเสบได้เสมอไป ถ้าใช้ยาฆ่าเชื้อนานไปจะเสี่ยงเชื้อดื้อยา มากขึ้นด้วย

ยาคลายเครียดกับยานอนหลับ ยากลุ่มคลายเครียดอาจมีฤทธิ์ง่วงก็จริงแต่ไม่ใช่ยาช่วยให้หลับเพราะยาคลาย เครียดหรือต้านซึมเศร้ามีฤทธิ์ไปกวนสารเคมีในสมองทำให้เกิดอาการง่วงซึมได้ การรับประทานคู่กันจะยิ่งอันตรายต่อเคมีในสมองมากขึ้น

ยาลดไข้กับยาแก้ปวด ท่านที่ทานยาแก้ปวดเป็นประจำอยู่ เมื่อมีไข้ขอให้ระวังการทานยาลดไข้เพิ่ม และให้หยุดยาแก้ปวดก่อน เพราะยาทั้งสองชนิดมีฤทธิ์ซ้ำซ้อนกันมาก และพิษก็ซ้ำซ้อนกันมากด้วย

ยาโรคกระเพาะกับยาแก้ปวดบิดไส้ เวลาปวดท้องหมออาจจะให้ยาร่วมกันมาทั้ง 2 ชนิด ขอให้ดูให้ดีก่อนรับประทาน หากเป็นโรคกระเพาะไม่มากอาจไม่ต้องกินยาแก้ปวด หรือท่านที่ปวดท้องแต่ไม่แน่ใจว่าจากลำไส้ขอให้เลี่ยงยาแก้ปวดบิดไส้ไว้ก่อนยาช่วยระบายกับยาถ่าย ยกตัวอย่างยาช่วยระบายเช่น ใยอาหาร มะขามแขก ส่วนยาถ่ายคือแบบที่ทำให้ปวดลำไส้ถ่ายเหลวคล้ายท้องเสีย หากรับประทานร่วมกันจะทำให้เกิดอันตรายถ่ายจนถึงขั้นช็อกได้

ยาละลายลิ่มเลือดกับยาช่วยเลือดไหลคล่อง ยาละลายลิ่มเลือดอย่าง “แอสไพริน” ถ้ากินกับยาที่ทำให้เลือดไหลคล่องอย่าง “วาร์ฟาริน” จะทำให้เกิดเลือดออกได้มากหากไม่ระวัง ดังนั้น เทคนิคคือไม่ควรรับประทานร่วมกันและหมั่นเจาะเลือดดูการแข็งตัวของเลือดอยู่เสมอ

ยาสร้างเม็ดเลือดกับยาธาตุเหล็ก ยา 2 ชนิดนี้บางทีถูกจ่ายคู่กัน แม้จะทานร่วมกันได้แต่มันมีพิษโดยเฉพาะกับ “ธาตุเหล็ก” ในกรณีที่โลหิตจางอย่างไม่แน่ใจขอให้เลี่ยงธาตุเหล็กไว้ก่อนเพราะมันเป็นพิษ กับโลหิตจางชนิด “ธาลัสซีเมีย” ส่วนยาสร้างเม็ดเลือดที่เป็น “โฟลิก” นั้นปลอดภัยรับประทานได้ในเลือดจางทุกประเภท

 ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

Friday, April 19, 2013

แก้นิ้วล็อก สูตรแบบไทยๆ



แก้นิ้วล็อก และหินปูนที่ข้อกระดูก
อายุรวัฒน์เวชศาตร์ anti anging medication

ใครที่เป็นนิ้วล็อก มือชา ถ้าขี้เกียจอ่านก็ช่วยไม่ได้......

มือผมชามานานมาก ประมาณเกือบ 10 ปีแล้ว
ชาระดับไหน...ชาชนิดที่ว่า กระจกบาดไม่รู้ กวาดบ้านได้
ไม่เกิน 2 นาที และที่ทำร้ายจิตใจมาก ก็คือผมจับไม้แบดโดยที่
ไม่รู้สึกอะไรเลย เล่นไปเพราะความเคยชิน

เคยไปปรึกษาหมอเมื่อ 2 ปีที่แล้วหมอบอกว่าเป็นพังผืด
และพูดสั้นๆ โดยไม่ต้องแปล...ผ่า!

พูดง่าย เข้าใจง่าย แต่ผมทำไม่ได้ เพราะนั่นหมายถึง
ผมต้องหยุดงานอย่างน้อย 2 อาทิตย์ รวมถึงหน้าที่ที่ต้องทำ คิดแล้ว...ทน...ต่อไปดีกว่า...

เมื่อเดือนก่อน เพื่อนบ้านของผมก็เป็นแบบผม
และเขาได้ไปผ่ามา หมดไป 18,000 บาท มันเยอะสำหรับผม
แต่เขาบอกว่าดีขึ้นมาก ผมก็ตั้งใจว่า ถ้ารวยเมื่อไหร่ ก็คงจะต้องไป
ผ่ามั่ง

แต่...เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมได้อ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
คอลัมน์นายเกษตร มีคนบอกสูตรยาแก้นิ้วล็อก พังผืด ผมอ่าน
แล้วก็ลองทำดู

สาเหตุ...ไม่ใช่ยากิน ไม่ใช่ของหายากลงทุนน้อยมาก ลองเลย...
ผลที่ได้...มหัศจรรย์ ฝ่ามือที่ชาดีขึ้นประมาณ 80% จริงๆ ไม่ได้โม้
ที่ว่า 80% เพราะหลังมือยังชาอยู่ ลองกดดูไม่เจ็บ

ลองกดที่ง่ามนิ้วระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ ไม่เจ็บ
เฮ้ย..!! จริงดิ ไม่เชื่อ ลองกำมือซ้ายกับมือขวาดู เฮ้ย...มือซ้ายยังชา
แต่มือขวาดีกว่ามือซ้าย ปกติมือขวาเป็นหนักกว่ามือซ้าย

ลองคิดดู ความรู้สึกของมือที่กลับคืนมาหาเราอีกครั้ง
มันวิเศษขนาดไหน!! ตกเย็นลองของเลยดิ่งไปสนามแบด โอ้โฮ....
มันดีจริงๆ เลย คืนค่ำนี้ก็เลยลองที่หลังมือขวา ผลที่ได้ก็คือ

อาการชาดีขึ้นมามาก จนมือขวาเรามีความรู้สึกแล้ว
อยากรู้แล้วล่ะดิ ตั้งใจฟังนะ.....

- ขนมปัง 1 แผ่น
- น้ำส้มสายชู 5% 1 ขวด เขาว่าถ้าจะให้ดีต้อง อสร.
(แต่ผมหาไม่ได้ ก็เลยใช้ตราภูเขาทองแทน )
- ผ้าพัน 1 ผืน

**แอดมินสับสนระหว่างน้ำส้มสายชูหมักหรือกลั่นกันแน่..
ขอให้ท่านสมาชิกดูที่ % ข้างขวดก็แล้วกัน(แนะนำ 5% ก็หาที่มัน
เขียนข้างขวดว่า 5% นะครับ จบ ) ขอบคุณ

วิธีทำ

เอาน้ำส้มสายชูราดลงไปบนแผ่นขนมปังพอชุ่ม
แล้ววางลงตรงจุดที่เป็นพังผืดเอาผ้าพันทับ พันหลวมๆ ไม่ต้องแน่น
แล้วก็ปล่อยทิ้งไว้ 1 ชม.

แกะออกแล้วก็ล้างมือ...ลองดู ความมหัศจรรย์
ก็จะเกิดขึ้นกับมือของท่าน เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับผม ผมลอง
แล้วได้ผลดีเกินคาด ก็เลยนำมาบอกต่อ

แต่ถ้าใครคิดว่าผมบ้ามาหลอกอะไรล่ะก้อ มาหาผมที่ร้าน
ผมจะทำให้ดู ไม่มีอันตราย น้ำส้มสายชูเรากินได้ ฉะนั้นถ้าโดนผิวหนัง
เรามันย่อมไม่มีผลอะไร

อันที่จริงผมจะส่งมาแค่สูตรยาก็กลัวว่าจะไม่กล้าทำกัน
ก็เลยร่ายยาวเลยใครที่เป็นลองดูนะครับได้ผลจริงๆ ลองดูกับคนไข้
ได้นะครับ

รับรองคนไข้ต้องเรียกว่านางนางฟ้าแทนนางพยาบาลแน่นอน

แถมให้อีกหน่อย...น้ำกัดเท้า ก็น้ำส้มสายชูนี่แหละ
รินแล้วแช่เลย หายขาด หินปูนที่เกาะตามข้อกระดูก

น้ำส้มสายชู 1 ขวด
เกลือป่น 1 กิโล ผสมกับน้ำอุ่นแล้วลงไปนอนแช่ 10-25 นาที
เขาบอกว่าถ้าจะให้ดีก็ควรออกกำลังกายก่อนสัก 15-20 นาที จะทำ
ให้หินปูนหลุดได้ง่ายขึ้น

แต่อันนี้ยังไม่ได้ลอง เพราะไม่มีอ่างอาบน้ำ
ลองดูนะครับ ได้ผลแล้วก็ช่วยบอกต่อกันเยอะๆ นะครับ
ขอขอบคุณคอลัมน์นายเกษตร และผู้ที่เผยแพร่สูตรนี้ ผมคงตอบ
แทนบุญคุณท่านได้ก็โดยการเผยแพร่ต่อไป

อย่าลืมนะครับ...บอกต่อๆ กันไป

Saturday, March 16, 2013

ดูแลเท้า ดูแลตน



วิธีดูแลสุขภาพเบื้องต้น

1. เวลาที่เราอาบน้ำ ควรราดน้ำที่เท้าก่อน เพราะเท้าเป็นส่วนปลายประสาทของอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย  ปลายประสาทที่เท้าจะส่งความรู้สึกถึงความเย็นหรือความร้อนไปสู่อวัยวะต่างๆ ทำให้ร่างกายสามารถที่จะรับรู้ถึงความรู้สึก และปรับสภาพได้ จะทำให้เราไม่เป็นภูมิแพ้

2. ควรดูแลเท้าให้อุ่นอยู่เสมอ  เท้าคนเราไม่ควรปล่อยให้เย็น เพราะการที่เท้าเย็นจะบ่งบอกถึงสภาวะร่างกายที่สมดุลเสียไป  ถ้าเท้าเย็น ให้แช่น้ำอุ่น จะทำให้ร่างกายสูบฉีดโลหิตได้ดีขึ้น

3. ก่อนนอน ควรแช่เท้าด้วยน้ำอุ่น เพราะจะทำให้ร่างกายสูบฉีดโลหิตได้ดีขึ้น จะช่วยให้การนอนหลับดีขึ้นด้วย

4. ควรเดินเท้าเปล่าบนสนามหญ้า หรือพื้นดิน จะทำให้เกิดการถ่ายเทพลังสนามแม่เหล็ก  ไม่ควรให้ผู้สูงอายุเดินเท้าเปล่าบนพื้นหินอ่อน หินขัด หรือพื้นที่มีความเย็น จะทำให้เลือดลมเดินไม่สะดวก

5. สุภาพสตรีไม่ควรใส่รองเท้าส้นสูงนานเกิน 1 ชั่วโมง เพราะจะทำให้เกิดอาการปวดคอ ไหล่ หลัง เอว ก้นกบ และมีปัญหาเกี่ยวกับรอบเดือน ในบุคคลที่ใส่รองเท้ารัดที่ตำแหน่งปลายเท้าเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดอาการปวดคอ ไหล่ ระบบการหายใจ และจะทำให้ใบหน้าเสียรูปทรงได้

       - วิธีแก้อาการปวดคอและต้นคอ ให้ใช้นิ้วโป้งนวดบริเวณข้องอหรือข้อพับนิ้วโป้งเท้าและบริเวณข้องอเท้าด้านในด้วย

6. ในบุคคลที่มีอาชีพต้องยืนเป็นเวลานานๆ หรือเดินเป็นเวลานานๆ  ก่อนนอนควรแช่เท้าด้วยน้ำอุ่น และนวดบริเวณน่องและเท้า ก่อนนอนให้หาหมอนหนุนปลายเท้าให้สูงกว่าลำตัว ค้างไว้ประมาณ 15 – 30 นาที จะช่วยให้ไม่เป็นเส้นเลือดขอด และทำให้เลือดลมเดินได้สะดวก ทำให้นอนหลับสบาย

7. สำหรับผู้ที่มีอาการปวดไหล่โดยไม่รู้สาเหตุ หรือเกิดจากพฤติกรรมทำงานนานๆ ในท่าเดียวกัน หรือเกิดจากการใส่รองเท้ารัดแน่นบริเวณปลายเท้า นวดขึ้นนวดลง และบริเวณเนินเนื้อฝ่าเท้าใต้น้ำชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อย ทิศทางการนวด ให้นวดจากทางนิ้วโป้ง ไปทางนิ้วก้อย ใช้น้ำหนักเท่าที่เราทนได้

8. สำหรับผู้ที่มีอาการท้องผูก และเริ่มมีอาการริดสีดวงทวาร
       - ให้ดื่มน้ำอุ่น 14 แก้ว
       - หลังอาหารเย็น ให้ทานกล้วยน้ำว้า 2 ใบ หรือดื่มนมเปรี้ยว
       - ให้ใช้บริเวณอุ้งเท้าเหนือส้นเท้าซ้ายเหยียบกะลามะพร้าว หรือวัสดุทรงกลม ค้างไว้ประมาณ 10 วินาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง

9. สำหรับผู้ที่มีส้นเท้าแตก ให้ใช้ด้านในของเปลือกกล้วยหอม ทาบริเวณส้นเท้าที่แตกทิ้งไว้ 1 คืน (ทาแล้วให้ใส่ถุงเท้ากันมดและแมลงมาตอม) ตื่นนอนตอนเช้า แล้วล้างออก จะช่วยให้ ส้นเท้าที่แตกดีขึ้น

Thursday, February 21, 2013

ท่านั่งส้วม แก้ท้องผูก

วิทยาการสมัยใหม่ คนชอบใช้ของทันสมัย แต่ก็ต้องแลกกับปัญหาสุขภาพที่ตามมาอย่างไม่รู้ตัว  คนใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนมากขึ้น  วันๆ เราออกไปข้างนอก มองไปรอบตัว จะเห็นคนถือโทรศัพท์มือถือ มาดูๆ เล่นเล่น พิมพ์โน่นนี่นั่น  กันเต็มไปหมด  มากับเพื่อน แต่ไม่ได้คุยกันหรอก ต่างคนต่างจ้องมือถือตัวเองซะงั้น  ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันหายไปหมด  ระวังนะ ปัญหาสายตาเสื่อมเร็วกว่ากำหนด จะมาเยือนไม่รู้ตัว

ปัญหาอันหนึ่งที่เกิดจากวิทยาการสมัยใหม่ ที่ทำให้เราท้องผูก หรือถ่ายยากถ่ายเย็น กันนั้ก  นั่นก็คือ "ส้วม"  สมัยก่อนเราใช้ส้วมซึม นั่งไม่นานก็ถ่ายออกโดยง่าย แต่สมัยนี้ เราใช้ชักโครก นั่งสบายๆ อยู่ได้เป็นชั่วโมง อ่านหนังสือบ้าง เล่นมือถือไปบ้าง เพลินไป จนลืมถ่าย หรือถ่ายไม่ออกเอา

อาหารที่มีกากใยอย่างผักผลไม้นั้น อาจช่วยให้ขับถ่ายได้ดีขึ้น หรือบางคนก็ใช้ ยาถ่าย ชาถ่าย หรือ อาหารเสริมมากมาย สรรพคุณสารพัดมาช่วยได้

วันนี้น้ำใจขอลองเสนออีกทางเลือกนึงให้ท่านได้กลับมาถ่ายอย่างมีความสุขอีกครั้ง

โดยปกติมนุษย์เราถูกออกแบบให้เวลาขับถ่ายต้องนั่งยองๆ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ไม่มีเผ่าไหนชนใด จะมีท่าพิสดารไปกว่านี้ แต่พอโลกเราทันสมัย มีความสบายมากขึ้น ชักโครกก็เข้ามาแทนที่ ก็เกิดโรคที่ตามมาอย่างเช่น ริดสีดวงทวาร ท้องผูก ลำไส้อักเสบ มะเร็งลำไส้ ไส้ติ่งอักเสบ



ในหลายโรงพยาบาล การปรับเปลี่ยนท่าขับถ่าย ในผู้ป่วยที่มีปัญหา ไม่ใช่แค่การแนะนำ แต่เป็น “คำสั่ง”

ของเสียในร่างกายเราอยู่ในลำไส้ใหญ่ รอจะถูกขับออกทางรูทวารผ่านไส้ตรง (Rectum) แต่มีกล้ามเนื้ อ(Puborecalis) ที่คอยปิดไว้ ทำให้เราสามารถอั้น ไม่ให้ของเสียออกมาเรี่ยราดได้

เมื่อเรานั่งลงบนชักโครกกล้ามเนื้อส่วนนี้จะไม่สามารถผ่อนคลายได้อย่างเต็มที่ เพราะร่างกายเราไม่ได้ออกแบบมาเช่นนี้

แต่แค่เพียงเราปรับเปลี่ยนท่าขับถ่ายเป็นนั่งยองๆ ไส้ตรงเราจะถูกผ่อนคลายอย่างเต็มที่ทำให้ขับถ่ายได้อย่างมีประสิทธภาพและสะดวกขึ้น

น้ำใจคงไม่แนะนำ ให้ถึงกับต้องปีนขึ้นไปบนชักโครก เดี๋ยวตกลงมาจะเจ็บตัวเปล่าๆ  แต่แค่คุณลองเอาเก้าอี้ตัวเตี้ยๆ มารองเท้าไว้ดังรูปข้างล่าง แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ลำไส้ก็จะอยู่ในมุมที่เหมาะสม

ที่นี้ การกินได้ ถ่ายออก ก็จะไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณอีกต่อไป

ลองดูนะคะ