มันเป็นเรื่องจริงของผู้ชายอเมริกันเชื้อสายกรีกคนหนึ่ง ชื่อ สะตามาติส อพยพไปอยู่อเมริกา ประกอบอาชีพช่างทาสีอยู่ที่โอไฮโอ จนเขามีบ้าน มีรถ มีลูก ชีวิตกำลังสบาย อายุ 60 ปี ก็เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ผ่าตัดไม่ได้แล้ว
หมอบอกว่าชีวิตเขาคงเหลืออีกไม่กี่เดือน ทางเลือกที่เหลือคือให้เคมีบำบัด ซึ่งเขาทำได้ฟรี เพราะตลอดชีวิตการทำงานได้ซื้อประกันสุขภาพไว้
สะตามาติสใจเสีย แต่ยังดีที่ลูกๆพ้นอกไปหมดแล้ว เขามานอนคิดดู ถ้าอยู่รักษาที่อเมริกา ชีวิตก็คงเข้าๆออกๆโรงพยาบาล แล้วก็ตายอยู่ดี ค่าทำศพที่นี่อย่างต่ำๆก็ 1,200 เหรียญ แต่ถ้าเขากลับไปตายที่บ้านเกิดของเขาที่กรีก ไปอยู่ที่กระต๊อบของพ่อแม่ ค่าใช้จ่ายก็แทบไม่มี ค่าทำศพที่นั่นเพียง 200 เหรียญ ก็ได้อย่างหรูแล้ว
เขาจึงตัดสินใจบอกลาลูกๆ พาเมียไปกับเขา ตัวเขาตั้งใจกลับไปตายที่บ้านเกิด ที่เกาะอิคาเรีย ทะเลอีเจียน ประเทศกรีก
เมื่อแรกมาถึงบ้านพ่อแม่ เขาตั้งเตียงในห้องเล็กในกระต๊อบของพ่อแม่ เขานอนซมอยู่บนเตียง ไอโขลกๆ ทุกวัน รอการมาของความตาย ให้เมียและแม่เป็นคนพยาบาล ดูแลเขาไปตามมีตามเกิด
อยู่วันหนึ่งซึ่งเป็นวันอาทิตย์ เขาเกิดความคิดว่า ตัวเราหนอก็กำลังจะตายอยู่แล้ว น่าจะเข้าไปใกล้ชิดตีสนิทกับพระเจ้าไว้ก่อน ตายไปจะได้มีเส้นสายได้ไปสวรรค์กับเขาบ้าง คิดได้ดังนั้นแล้วจึงตะเกียกตะกาย หอบแฮ่กๆกะย่องกะแย่งเดินขึ้นเขาไปโบสถ์ออร์โธดอกซ์ ที่อยู่บนยอดเนินของหมู่บ้าน
โบสถ์นี้สมัยที่เขายังเด็ก
ปู่ของเขาเคยเป็นบาทหลวงอยู่ที่นี่ ไปโบสถ์ครั้งเดียวก็เจอเพื่อนเก่าสมัยหนุ่มๆสามสี่คน และข่าวก็แพร่ออกไปว่าสะตามาติสกลับมาอยู่บ้าน และไม่ค่อยสบาย
หลังจากนั้นก็มีเพื่อนเก่าๆผลัดเปลี่ยนเวียนหน้ากัน มาเยี่ยมเยือน บ้างมาอยู่คุยนานเป็นชั่วโมง บางวันเพื่อนบางคนก็ถือไวน์แบบบ่มเองมาชวนเขาดื่มด้วย เขาก็ดื่ม เพราะจะตายอยู่แล้ว จะอะไรนักหนา ตายแบบสนุกๆ ก็ยังดีกว่าตายแบบเซ็งๆ
หลายสัปดาห์ผ่านไป เขามีความรู้สึกแปลกๆว่า
ตัวเขามีเรี่ยวแรงดีขึ้น จึงพยุงตัวเองออกไปเดินเลียบรั้ว ดูสวนรกๆหลังบ้าน ตากแดดสูดกลิ่นดินกลิ่นลมทะเลแล้ว ก็รู้สึกสบายตัวขึ้น
มีอยู่วันหนึ่งเขามีแรงมาก ถึงกับลงมือขุดดินปลูกแครอท มันฝรั่ง และผักสวนครัวอีกสองสามอย่างด้วยตัวเอง ไม่ได้ปลูกโดยหวังว่าตัวเองจะได้อยู่นาน จนถึงได้กินมันหรอก แต่ว่าอย่างน้อยเมียเขาก็จะได้เก็บเกี่ยว กินได้เมื่อเขาตายไปแล้ว ตัวเขานั้นได้แค่ออกมาโดนแดด สูดไอลมทะเล ตีนติดดิน และมือเปื้อนดินซึ่งเป็นผืนดินที่เขาเกิดและเติบโตมา แค่นี้มันก็ให้ความสุขใจพอแล้ว เขาจึงลุกจากเตียงมาทำสวนครัวหลังบ้านทุกวัน
หกเดือนผ่านไปโดยที่เขายังไม่ตาย และยังได้เก็บเกี่ยวกินผลผักสวนครัวที่เขาปลูกไปด้วย
คราวนี้เขาย่ามใจคิดการใหญ่ ถึงขั้นเข้าไปถางพงไร่องุ่นอันรกรุงรังด้วยหญ้า ของพ่อของเขาซึ่งท่านแก่เฒ่าทำเองไม่ไหวแล้ว
ทุกวันเขาตื่นนอนตอนสายๆ ออกมาตากแดดขุดดินฟันหญ้า กำจัดวัชพืช หมักปุ๋ย ใส่ปุ๋ยไปจนบ่ายสองบ่ายสามโมง แล้วจึงหยุดกินอาหารอย่างง่ายๆ ที่เขาทำเองจากผักสวนครัวของเขา
แล้วก็งีบหลับตอนบ่ายแก่ๆ ตื่นมาอีกทีก็เกือบเย็น
เขามักจะออกเดินโต๋เต๋เตร็ดเตร่ไปในหมู่บ้าน หยุดคุยเจ๊าะแจ๊ะกับเพื่อนเก่า บางทีก็แวะดื่มไวน์ บางทีก็ไปเล่นไพ่โดมิโนอยู่ที่ร้านเหล้ากลางหมู่บ้าน ถึงค่ำมืดดึกดื่นจึงเดินกลับ
วันเดือนปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีกปีหนึ่งผ่านไป เขามีแรงมากพอที่จะต่อเติมห้องนอน ที่กระท่อมของพ่อแม่เขา ออกไปอีกสองห้อง เพื่อใช้รองรับลูกๆของเขาจากอเมริกามาเยี่ยม
ไร่องุ่นที่เขาลงแรงไปทำก็ให้ผลผลิตน่าชื่นใจ เขาทำไวน์ได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนทำได้ถึงปีละ 400 แกลลอน
เวลาผ่านไปอีก ปีแล้วปีเล่ากับการทำงานหนักในไร่ และชีวิตเดิมๆแบบบ้านนอก กินอาหารที่มีพืชผักสวนครัวปลูกเองเป็นหลัก ดื่มไวน์ ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ถือศีลอดแบบชาวกรีกออร์โธดอกซ์ทั้งหลาย เจ๊าะแจะสรวลเสเฮฮากับเพื่อนเก่าหน้าเดิมๆ จนเขาลืมไปแล้วว่าเขาเป็นมะเร็งปอด มาที่นี่เพื่อมาตาย
วันที่แดนไปพบเขาที่อิคาเรียนั้น
สะตามาติสอายุครบ 100 ปีพอดี
ยังไม่ตาย ยังตากแดด ยิ้มปากกว้างอยู่กลางไร่องุ่น โดยไม่มีสีหน้าวิตกกังวลกับอดีตหรืออนาคตใดๆทั้งสิ้น
ดูเขาจะลืมตายไปเสียแล้ว
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
No comments:
Post a Comment