Monday, August 30, 2010

ดื่มชาป้องกันมะเร็งรังไข่

คุณสุภาพทั้งหลาย ได้อ่านแล้วโปรดทราบ คุณผู้หญิงควรจะดื่มชา ไม่ว่าจะเป็นชาเขียวหรือชาดำเป็นประจำ วันละ 1–2 ถ้วย จะช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเป็นมะเร็งรังไข่ได้ 50% หรือมากกว่านั้น

นักวิจัยมหาวิทยาลัยแห่งวอชิงตัน ของสหรัฐฯ สังเกตพบจากการศึกษากับผู้หญิง 2,000 คน ว่า สามารถหนีห่างโรคมะเร็งรังไข่ได้ร้อยละ 54 เพืียงการดื่มชาเขียวประจำวันละ 1-2 ถ้วย

ขณะที่สถาบันการแพทย์สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ก็ศึกษาพบว่า สตรีที่ดื่มชาดำวันละอย่างต่ำ 2 ถ้วย จะลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งรังไข่ ลงได้เกือบร้อยละ 50

จากการศึกษาทั้งสองแห่ง ได้ยืนยันสรรพคุณของชาดำและชาเขียวในการป้องกันมะเร็ง นอกจากที่เคยสังเกตพบว่า ช่วยบำรุงหัวใจ สมองและลดปริมาณไขมันเลวในเลือดลงได้

Thursday, August 26, 2010

รักษามะเร็งไข่ด้วย "ขิง"

รายงานจากการประชุมของสมาคมการวิจัยโรคมะเร็งแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาล่าสุดพบว่า พืชพื้นเมืองไทยอย่างขิง มีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งได้ เตรียมวิจัยทำยารักษามะเร็งไข่

         นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกาเชื่อว่าขิงสามารถช่วยรักษาโรคมะเร็งรังไข่ได้ สมทบโดยนักวิจัยจากประเทศอังกฤษ ซึ่งเชื่อว่าขิงอาจเป็นรูปแบบใหม่ของยาในอนาคตหากได้รับการวิจัยอย่างจริงจัง

          รีเบคก้า ลิว (Rebecca Liu) ผู้รายงานการวิจัยครั้งนี้ได้นำเสนอผลการทดลองใช้ขิงผงสำเร็จรูปที่วางขายในร้านทั่วไป ละลายในสาระลายแล้วทดสอบกับเซลล์มะเร็งรังไข่ พบว่าฤทธิ์ของขิงทำให้เซลล์มะเร็งรังไข่ตาย และความเผ็ดร้อนของขิงยังช่วยไม่ให้เซลล์ต่อต้านการรักษาอีกด้วย

          การฆ่าเซลล์มะเร็งนั้นทำได้ 2 รูปแบบ คือวิธีการทำให้เซลล์ส่งสัญญาณมาทำลายตัวเอง (apoptosis) และวิธีการที่ทำให้เซลล์ทำลายตัวเอง (autophagy) การรักษาด้วยเคมีบำบัดเป็นขบวนการฆ่าเซลล์แบบ  apoptosis ส่วนการทำงานของขิงนั้นเกิดขึ้นในรูปแบบของ autophagy ซึ่งเป็นแนวทางที่คาดหมายว่าจะลดการดื้อต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัดของเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย

         ก่อนหน้านี้ศูนย์วิจัยโรคมะเร็ง ในประเทศอังกฤษ ก็เคยพบว่าสารสกัดจากขิงสามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ เจ้าหน้าที่ด้านข้อมูลวิทยาศาสตร์ เฮนรี่ สควอครอฟท์ (Henry Scowcroft) กล่าวยืนยันผลการทดลองครั้งนี้ แต่อย่างไรก็ตามนักวิจัยทั้งสองท่านได้แสดงทัศนะว่า งานวิจัยครั้งนี้เป็นเพียงการทดสอบเบื้องต้น และเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบประสิทธิภาพการทำงานของขิงเท่านั้น ยังคงต้องมีการค้นคว้าวิจัยอีกมาก ก่อนที่จะยืนยันผลการทดลอง และกว่าที่จะค้นหาสารออกฤทธิ์ในขิงเพื่อสกัดออกมาเป็นยา ยังคงต้องผ่านกระบวนการวิจัยอีกหลายขั้นตอน

         ในประเทศไทยเองก็มีการศึกษาวิจัยฤทธิ์ของขิงในการฆ่ามะเร็งเช่นกัน โดยหวังว่าพืชพื้นเมืองอย่างขิง จะเป็นความหวังใหม่ในการรักษามะเร็งรังไข่ในอนาคต

         ปัจจุบัน ขิง ได้รับการยอมรับว่าสามารถแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน และป้องกันการเมารถ เมาเรือได้ มีการนำขิงบรรจุแคปซูลเพื่อสะดวกต่อการรับประทาน และใช้กินเพื่อป้องกันการเมารถ ยาจีนหลายขนานก็มีขิงเป็นส่วนประกอบ และคนจีนก็ได้ใช้ประโยชน์จากขิงมานับพันปีแล้ว

         การแข่งขันด้านการวิจัยสรรพคุณของสมุนไพรเป็นไปอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยขึ้นชื่อว่ามีสมุนไพรจำนวนมากและหลากหลาย หากได้มีการวิจัยอย่างจริงจัง เพื่อหาทางสกัดยาจากสมุนไพรโดยผ่านกระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ โอกาสการค้นเจอทางออกจากโรคร้ายคงมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้

จาก นิตยสาร ใกล้หมอ ปีที่ 31 ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม 2550

Tuesday, August 24, 2010

‘ไอเย็น-ร้อน’ รักษามะเร็งหายได้

วงการแพทย์ทั่วโลกสุดตะลึง! เมื่อแพทย์จีนค้นพบหนทางใหม่รักษาโรคมะเร็ง ด้วยการฉีดไอเย็นสลับร้อนลงบนก้อนเนื้องอก จนฝ่อและตายไปในที่สุด
คณะแพทย์, ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลฟูด้า (FUDA) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญในการรักษาโรคมะเร็งที่มีชื่อเสียงของจีนและของโลก จากมณฑลกวางเจา สาธารณรัฐประชาชนจีน เดินทางมาเยี่ยมชมความสำเร็จของการรักษาโรคร้ายดังกล่าวถึงเมืองไทย  หลังจากพบผู้ป่วยชาวไทยกว่า 50 คน เดินทางไปเข้ารับการรักษาถึงแดนมังกร ต่อมมาพบว่าเซลส์มะเร็งได้ฝ่อและสลายไปหมดแล้ว

ศ.นพ.ฉู เคเฉียง (Xu Kecheng) ผู้บริหารระดับสูง และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคมะเร็งมากกว่า 46 ปีของโรงพยาบาลฟูด้า กล่าวถึงการรักษาโรคมะเร็งด้วยการแพทย์ที่ล้ำสมัย อันเป็นแนวทางเฉพาะของโรงพยาบาลแห่งนี้ ว่า เป็นการผสมผสานในการรักษาด้วยการใช้ทฤษฎีใหม่ คือ ใช้ “ไอเย็นสลับร้อน” ด้วยการฉีด (Probe) “ก๊าซซีเรียม” เข้าไปยังก้อนเนื้อที่มีเซลส์มะเร็งเพื่อให้ความเย็นจัดเข้าไปหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลส์มะเร็ง จากนั้นก็ฉีด “ก๊าซอาร์กอน” ที่ให้ความร้อนสูงไปสลายก้อนเนื้อเซลส์มะเร็ง ทำสลับกันอย่างนี้ 2 ครั้ง โดยในเวลาประมาณ 20 นาที จะทำให้เซลส์มะเร็งฝ่อและสลายไปในที่สุด

ศ.นพ.ฉู เคเฉียง ระบุว่า "การรักษาโรคมะเร็งตามทฤษฎีนี้ ได้รับการยอมรับในวงกว้างไม่เฉพาะแต่ในเมืองจีนหรือในเอเชีย หากแต่คนในทวีปยุโรปและอเมริกาต่างก็ให้ความสนใจและติดต่อขอเข้ารับการรักษาโรคมะเร็จจากคณะแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญจากเราเป็นจำนวนมาก สำหรับเมืองไทย 7 ปีก่อนหน้านี้ เคยมีเศรษฐีไทยวัย 80 ปี เป็นคนแรกที่เข้ารับการรักษาโรคมะเร็งลำไส้กับโรงพยาบาลฟูด้า หลังจากแพทย์ไทยระบุว่าไม่อาจรักษาให้ได้แล้ว นับแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เศรษฐีไทยคนนั้น ยังคงใช้ชีวิตปกติสุข จากนั้น คนไทยอีกหลายสิบคนก็เดินทางไปขอรับการรักษาจากเราเรื่อยมา"

Monday, August 23, 2010

ขิงแก่แก้น้ำมูกไหลได้

ตอนนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว ฝนก็ตกไม่เป็นเวลาร่ำเวลา คนเป็นหวัดกันก็เยอะเหลือเกิน การทานยาแก้หวัดก็อาจจะช่วยได้ แต่ก็ต้องเสี่ยงกับการมีสารเคมีในร่างกายเพิ่มมากขึ้น สารเคมีในยาแก้หวัดถ้าสะสมมากๆ เข้า ก็จะทำให้เราง่วงซึม ขี้เกียจ คิดอะไรได้ช้าลง   วันนี้น้ำใจจึงอยากมาเสนอทางเลือกในการแก้ปัญหาหวัดคัดจมูกน้ำมูกไหล โดยใช้สมุนไพรไทยๆ นั่นคือ ขิงแก่ ช่วยบรรเทาอาการหวัดได้ค่ะ

วิธีคือ นำขิงแก่มาหั่นเป็นแว่นบาง ๆ แล้วต้มในน้ำให้ข้นที่สุดเท่าที่จะทนรสเผ็ดของขิงได้  แล้วนำมาดื่มสัก 2-3 ถ้วยอาการหวัดน้ำมูกไหลก็จะดีขึ้น  ทั้งนี้จะเพิ่มรสชาติของน้ำขิง โดยเติมน้ำตาลลงในน้ำขิง เพื่อให้มีรสหวานดื่มง่ายขึ้นก็ได้ค่ะ

ขอให้ผู้อ่านบล็อกของน้ำใจทุกคนมีสุขภาพแข็งแรงนะคะ

Sunday, August 22, 2010

เคล็ด (ไม่) ลับอายุยืน 120 ปี ตามแบบฉบับ นพ.เฉก ธนะสิริ


สำหรับผู้ที่ต้องการมีอายุยืนยาวอย่างมีสุขภาพดี 120 ปีนั้น นายแพทย์เฉก ธนะสิริ แนะนำว่า จะต้องปฏิบัติให้ได้ครบ 5 ข้อ ดังต่อไปนี้

1. ต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ หนักเบาตามอายุ แต่การออกกำลังต้องให้ได้ออกซิเจนสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดพลังชีวิต หรือพลังแอโรบิคไปจนตาย คือใช้หลักที่ว่า อยากมีแรงต้องออกแรง หรือต้องทำงานกลางแจ้งจนตลอดชีวิต

2. ต้องกินอาหารธรรมชาติ คือพืชพรรณธัญญาหาร เช่น แป้งเชิงซ้อนได้แก่ เมล็ดธัญพืช ถั่ว งา ข้าวซ้อมมือ ข้าวโพด เผือก มัน และผลไม้ และผักหลากสี หลากรส งดเนื้อสัตว์ ทุกชนิด วันหนึ่งกิน 2 มื้อ ก็พอแล้ว  งดมื้อเย็น ใช้หลักที่ว่า กินน้อย-ตายยาก กินมาก-ตายเร็ว อาหารอายุสั้น เช่น ผักสด ผลไม้สด ทำให้อายุยืน อาหารอายุยืน เช่น อาหารกระป๋อง ซอง แฮม ไส้กรอก แหนม กุนเชียง ทำให้อายุสั้น

3. ต้องดื่มน้ำสะอาด น้ำเปล่าๆ วันละ 10-12 แก้ว งดน้ำอัดลมทุกชนิด รวมทั้งเครื่องดื่มชาเขียว ยาบำรุงกำลัง

4. ต้องพักผ่อนนอนให้หลับสนิท ภูมิต้านทานในตัวจะสูงมาก เชื้อโรคแพ้ราบคาบและทำจิตใจให้สงบเป็นสมาธิ ไม่สร้างปัญหาชีวิตให้แก่ตน ครอบครัวและสังคม หากเป็นไปได้ให้ฝึกเจริญสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน เป็นนิจศีล ดำเนินชีวิตทุกๆ อย่างด้วย ไตรสิกขา คือศีล-สมาธิ-ปัญญา จงมั่นใจว่า การฝึกจิตให้นิ่งเป็นจิตที่มีพลังสูง

5. หมั่นสร้างแต่กรรมดี สร้างบุญสร้างกุศล ละเว้นความชั่วทุกชนิด และตั้งโปรแกรมจิตของตนทุกวันเวลาที่จะมีชีวิตยืนยาว 120 ปี อย่างมีคุณภาพ โดยพิจารณาให้เห็นชัดว่าร่างกาย คือฮาร์ดแวร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะต้องดูแลระมัดระวังให้ทำหน้าที่อย่างดีอยู่เสมอ ส่วนโปรแกรมที่จะป้อนเข้าไป เพื่อให้ได้ข้อมูลนั้นก็คือ "จิต" ของเรานั่นเอง การจะตั้งใจให้ผลออกมาดีนั้น คำสอนของพระพุทธเจ้าให้ใช้หลัก อิทธิบาท 4 หมายถึง สิ่งที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จ 4 อย่าง คือฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา

นอกจากนั้น การจะใช้อาหารเสริม วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ รวมทั้งการใช้เซลล์บำบัดจึงกลายเป็นเรื่องรองลงไปจากการปฏิบัติตัวด้วยตนเอง ทั้งหมดนี้เป็นคำแนะนำจาก นพ.เฉก "หมอผี" ของประเทศไทย

จาก หนังสือพิมพ์คมชัดลึก คอลัมน์ ลายแทงความสุข

Monday, August 16, 2010

โรคขัอเข่าเสื่อม รักษาไม่หาย แต่ป้องกันได้

โรคข้อเข่าเสื่อม อาจเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ ส่วนมากมักเกิดในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเป็นการเสื่อมสภาพของกระดูกตามธรรมชาติ แต่ใครจะรู้ว่าด้วยวัยเพียง 30 ปี เราก็มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมได้เช่นกัน หากไม่หาทางป้องกันแต่เนิ่นๆ ก็อาจจะสายเกินแก้และต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายในการรักษาให้หายได้

แพทย์ทางไคโรแพคติคกล่าวว่า อาการที่บ่งชี้ถึงการเป็นโรคข้อเข้าเสื่อมก็คือ อาการปวดข้อเข่า ข้อติด ข้ออักเสบ บวม อาจมีเสียงลั่นดังในข้อคล้ายกระดูกเสียดสีกัน บางรายอาจมีอาการเตือนล่วงหน้า เช่น รู้สึกติดขัดเมื่อขยับหัวเข่า เวลาเดินระยะใกล้ๆ แล้วรู้สึกปวด หรือเมื่อนั่งท่าเดิมนานๆ ในท่านั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ ก็รู้สีกปวดหัวเข่า เป็นต้น

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม ได้แก่ 
  1. ผู้ที่มีอาการเท้าแบน ทำให้ลักษณะการลงน้ำหนักที่ฝ่าเท้าผิดปกติ ส่งผลให้ข้อรับน้ำหนักไม่ถูกต้อง 
  2. กลุ่มผู้สูงอายุ ที่ข้อเข่าต้องแบกรับน้ำหนักมาก 
  3. ผู้ที่เล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมที่มีการกระแทกลงน้ำหนักมาก และ 
  4. กลุ่มผู้ป่วยที่มีปัญหาในเรื่องโครงสร้างร่างกาย เช่น แนวกระดูกสะโพกบิด แอ่นตัวผิดปกติ เป็นต้น

วิธีการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม
สำหรับวิธีการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม มีด้วยกัน 2 วิธีคือ วิธีไม่ผ่าตัด และวิธีผ่าตัด โดยวิธีไม่ผ่าตัดนั้น มีทั้งการรักษาด้วยยาชนิดต่างๆ การทำกายภาพบำบัด การใช้อุปกรณ์เสริมช่วยเดิน และอุปกรณ์พยุงเข่า ส่วนวิธีการผ่าตัด คือการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม หรือผ่าตัดเพื่อจัดแนวกระดูกใหม่ นั่นเอง

ถ้าคุณอยู่กลุ่มเสี่ยง ควรปรับพฤติกรรมให้เหมาะสมและเริ่มใส่ใจรักษาแต่เนิ่นๆ เพื่อให้ข้อเข่าแข็งแรงและอยู่กับเรานานๆ

สำหรับผู้ที่เริ่มมีอาการของข้อเข่าเสื่อม เรามีข้อแนะนำในการรักษาด้วยตนเอง ดังนี้
  1. ให้ลดน้ำหนักตัวลง เพราะเวลาเดิน น้ำหนักจะลงที่เข่าแต่ละข้างประมาณ 3 เท่าของน้ำหนักตัว และถ้าวิ่ง น้ำหนักจะลงที่เข่าเพิ่มเป็น 5 เท่าของน้ำหนักตัว ดังนั้น ถ้าลดน้ำหนักตัวลงได้ เข่าก็จะแบกรับน้ำหนักน้อยลง การเสื่อมของเข่าก็จะช้าลงด้วย
  2. ควรนั่งบนเก้าอี้ที่สูงระดับหัวเข่า เพื่อให้เวลานั่งห้อยขาแล้วฝ่าเท้าวางราบกับพื้นพอดี ไม่ควรนั่งพับเพียบ ขัดสมาธิ คุกเข่า นั่งยอง ๆ หรือนั่งราบบนพื้น เพราะท่านั่งเหล่านี้จะทำให้ ผิวข้อเข่าเสียดสีกันมากขึ้น ข้อเข่าก็จะเสื่อมเร็วขึ้น
  3. ควรนั่งถ่ายบนโถนั่งชักโครก ไม่ควรนั่งยอง ๆ เพราะทำให้ผิวข้อเข่าเสียดสีกันมาก และเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงขา ถูกกดทับ เลือดจะไปเลี้ยงขาได้ไม่ดี ทำให้ขาชา และมีอาการอ่อนแรงได้
  4. หลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันได การยืน หรือนั่งในท่าเดียวนาน ๆ ถ้าจำเป็นก็ให้ขยับเปลี่ยนท่าหรือขยับข้อเข่า เหยียด งอ เป็นช่วง ๆ
  5. ควรยืนตรง ให้น้ำหนักตัวลงบนขาทั้งสองข้างเท่า ๆ กัน ไม่ควรยืนเอียงลงน้ำหนักตัวบนขาข้างใดข้างหนึ่ง เพราะจะทำให้เข่าที่รับน้ำหนักมากกว่าเกิดอาการปวด และข้อเข่าโก่งผิดรูปได้
  6. ควรเดินบนพื้นราบ ใส่รองเท้าแบบมีส้นเตี้ย (สูงไม่เกิน 1 นิ้ว) หรือ แบบที่ไม่มีส้นรองเท้า พื้นรองเท้านุ่มพอสมควร และมีขนาดที่พอเหมาะเวลาสวมรองเท้าเดินแล้วรู้สึกว่ากระชับพอดี ไม่หลวมหรือคับเกินไป
  7. ไม่ควร เดินบนพื้นที่ไม่เสมอกันเช่น บันได ทางลาดเอียงที่ชันมาก หรือทางเดินที่ขรุขระเพราะจะทำให้น้ำหนักตัวที่ลงไปที่เข่าเพิ่มมากขึ้น
  8. ควรใช้ไม้เท้า เมื่อจะยืนหรือเดิน โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการปวดมากหรือมีข้อเข่าโก่งผิดรูป เพื่อช่วยลดน้ำหนักตัวที่ลงบนข้อเข่าและช่วยพยุงตัวเมื่อจะล้ม

โรคข้อเข่าเสื่อมนั้นไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็มีวิธีที่ทำให้อาการดีขึ้นและชะลอความเสื่อม ให้ช้าลง แต่จะทำได้มากน้อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของท่านเองเป็นสำคัญ