Thursday, September 23, 2010

ดู จด ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง อย่างได้ผล

วันนี้น้ำใจขอหยิบยกบทความดีๆ จากผู้เขียนนามปากกา "โยโมทาโร่" จาก หนังสือพิมพ์ทูเดย์-ไกด์ ฉบับวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553  เรื่อง "เวทวอทเชอร์ จับตาวายร้ายไขมันเกิน" มานำเสนอค่ะ  น้ำใจอ่านแล้ว เห็นว่าเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ และทำได้ง่ายๆ และเชื่อว่าถ้าทำตามที่แนะนำ น่าจะได้ผลในการควบคุมน้ำหนักได้ชะงักแน่แท้เชียว ค่ะ

เวทวอทเชอร์ จับตาวายร้ายไขมันเกิน

การออกกำลังกายควบคู่ไปกับการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง จะช่วยทำให้ตัวคุณมีบุคลิกดูดีมีเสน่ห์ แต่คุณเคยสังเกตไหมว่าทำไม เวลาลดน้ำหนักช่างยากเย็นแสนเข็ญ แต่เวลาน้ำหนักขึ้นนั้น พรวดพราดอย่างไม่ทันตั้งตัว  วันนี้เรามีวิธีควบคุมน้ำหนักไม่ให้ขึ้นพรวดพราดชนิดที่คุณทำเองได้ง่ายมากๆ ครับ ด้วยวิธีการที่เรียกว่า เวทวอทเชอร์ (weight watcher)

เวทวอทเชอร์ เป็นหนึ่งในวิธีการจัดการโปรแกรมลดน้ำหนักที่นิยมใช้ทั่วไปตามศูนย์ฟิตเนต ที่จัดโปรแกรมลดน้ำหนัก ให้เห็นผลภายใน 3 เดือน 3 ปีอะไรก็ว่ากันไปตามโปรแกรมของแต่ละที่  อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่วิธีลดน้ำหนัก แต่เป็นวิธีการสำรวจตัวเองอย่างละเอียด ถึงความเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก โดยอาศัยการจดบันทึกช่วยวางแผนการลดน้ำหนัก รวมถึงช่วยให้คุณจัดการกับน้ำหนักส่วนเกินหลังประสบความสำเร็จอีกด้วย

ชั่งทุกวันให้เป็นกิจวัตร

ก่อนอื่นเราจะต้องมีอุปกรณ์ช่วยลดน้ำหนักประจำชนิดขาดไม่ได้เลย ก็คือ เครื่องชั่งน้ำหนักดิจิตอล (ย้ำว่าต้องเป็นดิจิตอลเท่านั้น)  และ ปฏิทินตั้งโต๊ะวางไว้ใกล้ๆ กัน สำหรับจดบันทึกน้ำหนักของวันนั้น

ว่ากันว่าเราควรชั่งน้ำหนักสัปดาห์ละครั้ง แต่จากประสบการณ์ของกลุ่มคนที่ลดน้ำหนักแล้วได้ผล เวลาหนึ่งสัปดาห์อาจมากเกินไป  เราใช้เวลา 1 สัปดาห์ลดน้ำหนักได้เฉลี่ย 0.6 - 1 กิโลกรัม  แต่หลังลดน้ำหนักและอยู่ในช่วงที่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย น้ำหนักอาจเพิ่มเป็น 1 - 2 กิโลกรัมโดยที่เราไม่รู้ตัว  ดังนั้น การชั่งน้ำหนักทุกวันหรือสองวันครั้ง และจดบันทึกในปฏิทินให้เห็นความเปลี่ยนแปลง จะช่วยให้คุณรู้ว่า วันนี้คุณควรจะทำอะไร เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเอง

สังเกตช่วงน้ำหนัก

การชั่งน้ำหนักที่ดี ไม่ใช่นึกจะชั่งเวลาไหนก็ชั่งได้ เวลาการชั่งน้ำหนักที่ดีที่สุดคือ ช่วงเช้าหลังทำธุระส่วนตัวเสร็จ คือเวลาที่ร่างกายได้ขับของเสียออกมาทั้งหมด จนเหลือแต่น้ำหนักตัวที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด เราถึงจดบันทึกตัวเลขน้ำหนักนั้นเอาไว้

เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ คุณจะสังเกตเห็นช่วงน้ำหนักเฉลี่ยในแต่ละวัน ซึ่งทำให้คุณรู้ว่า น้ำหนักคุณตอนนี้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นหรือลดลง

ต่อไปเมื่อทุกครั้งที่คุณชั่งน้ำหนัก คุณก็จะรู้ว่า นี่คือน้ำหนักที่ควรรีบลดเป็นการด่วน หรือเป็นช่วงน้ำหนักปกติไม่จำเป็นต้องกังวล จะช่วยให้คุณควบคุมน้ำหนักหลังการลด ให้อยู่กับคุณไปอีกนาน

ที่สำคัญ จะทำให้คุณรู้ธรรมชาติของตัวคุณเองว่า ในช่วงการใช้ชีวิตปกติหลังออกจากคอร์สลดน้ำหนัก ร่างกายคุณจะใช้เวลาแค่ไหนกว่าที่น้ำหนักจะขึ้น แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้น ควรจดบันทึกอาหารเมนูเด่นๆ ที่พอจำได้ในแต่ละวันลงไป จะช่วยให้เราเห็นภาพมากขึ้น ว่าอะไรที่คุณรับประทานแล้ว น้ำหนักขึ้นทันตาเห็น เพราะไม่ใช่ทุกคนที่งดแป้งแล้วจะผอม ไม่ใช่ทุกคนที่ลดของหวานแล้วเห็นผล ยังมีรูปแบบกิจวัตรประจำวันของแต่ละคน ที่ทำให้การเผาผลาญสารอาหารมากน้อยแตกต่างกันออกไปอีก  ดังนั้น คุณจึงไม่ต้องเสียเงินเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักราคาแพง เพียงแค่ขยันจดของความสั้นๆ ทุกวัน ว่าน้ำหนักเท่าไร รับประทานอะไรไปเมื่อวาน เท่านี้คุณก็จะมีรูปร่างที่ดี โดยไม่ต้องกลัวอ้วนอีกต่อไป

Wednesday, September 15, 2010

รับมือกับโรคออฟฟิศซินโดรม (OfficeSyndrome)

ใครว่าเป็นพนักงานประจำอยู่ออฟฟิศ นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นั้นแสนสบาย ไม่ต้องเสี่ยงกับภัยอันตรายใดๆ เท่ากับอาชีพอื่นๆ ที่ต้องทำงานแบกหามอยู่กลางแจ้ง เพราะเดี๋ยวนี้โรคภัยไวกว่าความเร็วอินเตอร์เน็ตเสียอีก ลุกลามไปได้ทุกวันทุกอาชีพนั่นแหละ ไม่เว้นแม้แต่พนักงานหน้าใสนั่งประจำออฟฟิศ ซึ่งโรคนี้มีชื่อเรียกว่า “โรคออฟฟิศซินโดรม

โรคออฟฟิศซินโดรม” เป็นกลุ่มอาการที่พบบ่อยในวัยทำงาน เกิดจากอิริยาบทที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นอาการที่ต้องนั่งทำงานตลอดเวลา ทำให้ร่างกายขาดการเคลื่อนไหว นั่งหลังค่อม เก้าอี้ไม่มีพนักพิง จึงไม่สามาถรองรับแผ่นหลัง การจัดวางของที่ทำให้หยิบจับลำบาก และการกดแป้นคีย์บอร์ดไม่มีตัวรองรับข้อมือ จะทำให้มีการกระดกข้อมือขึ้นลงซ้ำๆ ซึ่งเป็นผลเสียต่อสุขภาพ ซ้ำบางคนที่มีอาการของหมอนรองกระดูกเคลื่อนอยู่แล้ว หากทำงานในอิริยาบทที่ผิด จะทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้น  แถมยังมีเรื่องความเครียดในที่ทำงานอีก
แต่ไม่ต้องกลัว เพราะถ้าเรารู้จักการดูแลป้องกันตัวเองอย่างถูกวิธีในการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ ดรคออฟฟิศซินโดรมก็จะไม่ถามหาคุณอย่างแน่นอน

อาจารย์หยางเผยเซิน ผู้ก่อตั้งศูนย์ซี่กงเพื่อสุขภาพ กล่าวว่า อิริยาบทและสภาพแวดล้อมในที่ทำงานที่ไม่เหมาะสม จะส่งผลให้กล้ามเนื้ออักเสบและปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ เช่น หลัง ไหล่ บ่า แขน หรือข้อมือ  โดยเฉพาะการกระดกข้อมือขึ้นลงซ้ำๆ จากแป้นคีย์บอร์ดที่ไม่มีการรองรับข้อมือ จะส่งผลให้เกิดการอักเสบบริเวณเส้นเอ็น รวมทั้งเกิดสภาวะพังผืดหนา ทำให้เกิดอาการชาบริเวณนิ้วและข้อมือ  ส่วนความเครียดสะสม จะทำให้มีอาการปวดศีรษะหรือเป็นโรคเครียดได้ อาการที่กล่าวมามีศาสตร์แห่งการบำบัดโรคที่มีมาแต่โบราณวิธีหนึ่งคือ  “กัวชา” เป็นวิธีบำบัดโรคธรรมชาติแบบวิถีชาวบ้านตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเริ่มมีการเล่าขานถึงตั้งแต่ในยุคชุนซิวจั้นกั๋ว แต่ปรากฏหลักฐานในสมัยราชวงศ์หยวน ชื่อ “ตำรายอดนิยมของหมอกลางบ้าน” โดย เวยอี้หลิน ในราวปี ค.ศ. 1337  ต่อมาในยุตหลังจึงเริ่มบันทึกเป็นตำราทางศาสตร์กัวชา “กัวชาเป็นศาสตร์ที่เรียนรู้ได้ง่าย สะดวก เห็นผลเร็ว เพียงใช้อุปกรณ์ที่ทำจากธรรมชาติ มาวาดบนผิวหนังตามเส้นลมปราณทั่วร่างกายเพื่อบำบัดโรคและขับพิษออกจากร่างกาย จึงเป็นที่นิยนของชาวจีนมาอย่างยาวนาน”

การบำบัดด้วยกัวชา มีประสิทธิภาพในการขับพิษ เมื่อกัวชาเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายแข็งแรง  จุดเด่นของกัวชาออฟฟิศซินโดรมเพื่อบำบัดโรคต่างๆ  อาทิ แก้อาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ช่วยบรรเทาและบำบัดอาการปวดชาบริเวณ คอ ไหล่ หลัง บ่า แขน และข้อมือ  บำบัดอาการมือชา เท้าชา และนิ้วล็อก ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทำให้เลือดลมหมุนเวียนดี
นอกจากบำบัดแล้ว ยังมีวิธีป้องกันที่หนุ่มสาวชาวออฟฟิศสามารถทำได้เองง่ายๆ ไม่เสียเวลางานด้วย ซ้ำยังนั่งทำได้ที่หนาจอคอมพิวเตอร์ของคุณเอง  พร้อมแล้ว เริ่มกันเลย …

1. ยื่นแขนไปข้างหน้า กางนิ้วมือออก เกร็งไว้สักครู่ สลับกับกำมือ ประมาณ 10 ครั้ง
2. ท่าบริหารหลังส่วนบนและสะบัก  ประสานมือไว้ด้านหลังศีรษะ ศอกทั้งสองข้างและลำตัวส่วนบนตั้งตรง ดันศอกทั้งสองข้างออกไปด้านหลังตรงๆ จนรู้สึกตึงบริเวณหลังส่วนบนและสะบัก  ค้างไว้ประมาณ 8-10 วินาที ทำแบบนี้ 5-10ครั้ง
3. ท่าบริหารคอด้านข้าง  ตั้งศีรษะตรง เอียงศีรษะไปด้านซ้ายช้าๆ จนกระทั่งกล้ามเนื้อคอด้านข้างรู้สึกตึง ค้างไว้ประมาณ 10-20 วินาที  จากนั้นสลับไปทำด้านขวาแบบเดียวกัน ทำซ้ำข้างละ 2-3 ครั้ง
4. ตั้งศีรษะตรง หันหน้าไปทางหัวไหล่ด้านซ้าย จนกระทั่งคางเป็นแนวเดียวกับหัวไหล่ จนรู้สึกตึงที่ด้านข้างของคอด้านขวา ค้างไว้ 10-20 วินาที  จากนั้นสลับไปทำด้านขวาแบบเดียวกัน  ทำซ้ำข้างละ 2-3 ครั้ง  ท่านี้ช่วยบริหารคอด้านข้างเหมือนกัน
5. ท่าบริหารคอด้านหลัง  ก้มศีรษะจรดหน้าอกและให้รู้สึกตึงบริเวณคอด้านหลัง ค้างไว้ 5-10 วินาที ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง
6. ประสานมือและเหยียดแขนไปข้างหน้าจนรู้สึกตึงที่แขนและไหล่  ค้างไว้ประมาณ 20-30 วินาที ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง ท่านี้ช่วยบริหารแขนและไหล่ส่วนบน
7. ยกหัวไหล่ขึ้นไปจนจรดหู จนกระทั่งรู้สึกตึงที่คอและไหล่  ค้างไว้ประมาณ 3-5 วินาที  จากนั้นปล่อยไหล่ลงในท่าปกติ  ทำท่านี้ 2-3 ครั้ง จะเป็นการบริหารการเกร็งบริเวณหัวไหล่และคอ
8. ท่าบริหารหัวไหล่  ใช้มือซ้ายจับที่ข้อศอกขวา ดึงข้อศอกขวามาด้านซ้าย จนรู้สึกตึงที่หัวไหล่ขวา ค้างไว้ประมาณ 15-20 วินาที  จากนั้นสลับไปทำด้านซ้าย  ทำซ้ำข้างละ 2-3 ครั้ง
9. ท่าบริหารแขนและไหล่ส่วนล่าง  ประสานมือและเหยียดแขนขึ้นไปข้างบนจนตึง ค้างไว้ประมาณ 10-20 วินาที  ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง
  
ลองทำดูเพื่อสุขภาพที่ดีห่างไกลจากโรคออฟฟิศซินโดรม

ขอขอบคุณ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่  15 กันยายน 2553 สำหรับบทความนี้ค่ะ

Wednesday, September 8, 2010

เก้าอี้ยืนรักษาโรคได้จริง?


วันนี้น้ำใจมีท่าออกกำลังกายบริหารรักษาโรคแบบง่ายๆ สบายๆ มานำเสนอผู้อ่านค่ะ โดยจะเป็นกายบริหารบนเก้าอี้ยืน ซึ่งสามารถช่วยเรื่องโรคปวดหลัง ปวดเข่า ปวดเอว ปวดต้นคอ ไมเกรน ป้องกันอัมพฤษ อัมพาต ท้องผูก นิ้วล็อก แล้วช่วยยืดเส้นยืดสาย ยืดกระดูดได้
ใครมีเก้าอี้ยืนแล้ว ดูภาพประกอบการออกกำลังกายบนเก้าอี้มหัศจรรย์นี้ได้เลยค่ะ  ส่วนใครที่ยังไม่มีก็ลองหาซื้อมาใช้นะคะสนนราคาก็ประมาณ 350-450 บาทเท่านั้น  (หาเอาตามเว็บนะคะ น้ำใจไม่ได้ขายค่ะ แต่ถ้าใครหาไม่ได้จริงๆ ก็ลองส่งเมล์มา น้ำใจจะบอกให้ค่ะว่าซื้อได้จากที่ไหน)

สำหรับน้ำใจ ยังไม่เป็นโรคอะไรมาก แต่อยากออกกำลังกายกะเขาบ้าง ก็ได้ใช้เก้าอี้ยืนนี่แหละค่ะ เป็นเครื่องออกกำลังกายประจำบ้าน ทำวันละ 10-15 นาที ทำแล้วรู้สึกยืดเส้นดีค่ะ แต่สำหรับผู้ใหญ่ ในตอนแรกที่ฝึกก็อย่าหักโหมนะคะ เพราะคุณแม่ของน้ำใจ (อายุ 74 ปีแล้ว) ลองฝึกแล้ว ทำวันแรกฟิตจัด ยืนไป 15 นาที ปรากฎว่าปวดขาไปอีก 3 วัน บอกเข็ดไปเลย
เก้าอี้ยืนมี 2 ระดับ ให้เริ่มยืนในระดับที่ต่ำก่อน แล้วค่อยๆ ปรับระดับไปที่สูงขึ้น 

กรณีผู้ที่ฝึกครั้งแรก ควรหาที่จับเพื่อกันไม่ให้ล้มลงมา อาจเป็นตู้ โต๊ะ หรือเก้าอี้ที่แข็งแรงหน่อย  ถ้าเริ่มยืนแล้วตัวยังโอนเอนไปมา หรือก้นโด่ง ก็ให้ฝึกยืนจนตัวตรงให้ได้ก่อน แล้วค่อยออกท่าทางตามที่จะแนะนำต่อไปนี้นะคะ

ขั้นตอนการยืน
รูปที่ 1
ให้ถอดรองเท้า แล้วขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ยืน กางขาออกเล็กน้อย (ตามรูปที่ 1)  ในการออกกำลังกาย ให้ทำแต่ละท่าประมาณ 10-40 ครั้ง  ออกกำลังกายเช้า-เย็น ควรออกกำลังกาย 15-20 นาทีต่อครั้ง

ท่าการออกกำลังกาย

ท่าที่หนึ่ง การฝึกพื้นฐาน เพื่อเตรียมพร้อม 
รูปที่ 2

ให้ยืนตัวตรง(บนเก้าอี้ยืน) หายใจเข้าและออกช้าๆ ประมาณ 10 นาที

ท่าที่สอง ทำให้เลือดลมหมุนเวียนดีทั่วร่างกาย
รูปที่ 3

ให้ยกแขนไปข้างหน้า ทำมุม 35 องศา แล้วเหวี่ยงแขนไปข้างหลัง กลับไปกลับมา 10 ครั้ง

ท่าที่สาม แก้นิ้วล็อก
รูปที่ 4

ให้ยกแขนไปข้างหน้า กางนิ้วออกทุกนิ้ว สลัดนิ้ว 10 ครั้ง

ท่าที่สี่ ท่านกบิน แก้ปวดบ่า ปวดไหล่
รูปที่ 5

ให้กางแขนออก แล้วยกแขนขึ้นข้างต้ว ปลายนิ้วแตะเหนือศีรษะ ทำขึ้นลง 10 ครั้ง

ท่าที่ห้า  แก้ปวดต้นคอ ตกหมอน
รูปที่ 6

ให้ยกไหล่ แล้วเอียงคอไปทางซ้ายที ขวาที ข้างล่ะ 10 ครั้ง

ท่าที่หก แก้ปวดหลัง
รูปที่ 7

ให้กำมือทั้งสองข้าง แล้วเอาไปไว้ข้างหลังตรงระดับเอว แล้วบิดตัวไปซ้ายที ขวาที ข้างละ 10 ครั้ง

ท่าที่เจ็ด ท่าอุ้มแตงโม แก้ปวดเอว ปวดหลัง
รูปที่ 8

ให้มือซ้ายตั้งฉากกับลำตัวอยู่ในระดับเอว มือขวาอยู่ระดับอก  แล้วบิดตัวสลับไปทางซ้ายขวา พร้อมกับสลับมือไปด้วย  เมื่อบิดไปทางซ้ายให้มือขวาอยู่บน เมื่อบิดไปทางขวาให้มือซ้ายอยู่บน  ทำข้างละ 10 ครั้ง

ท่าที่แปด ท่ายิงปืน บริหารสายตา
รูปที่ 9

ให้ยกมือขวาขึ้น ยืนตัวตรง สายตามองตามมือที่หมุนซ้าย จากนั้นหมุนกลับ แล้วยกมือซ้ายขึ้น สายตามองตามมือที่หมุนขวา ทำสลับไปมาซ้ายขวา 10 ครั้ง

----
ท่าการออกกำลังกายบนเก้าอี้ยืนก็มีทั้งหมดเท่านี้ค่ะ ถ้าเพื่อนๆ คนไหนมีท่าออกกำลังกายบนเก้าอี้ยืนอื่นๆ อีก ที่จะช่วยรักษาโรคต่างๆ ได้ ก็คอมเม้นท์เข้ามานะคะ

ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงนะคะ

Thursday, September 2, 2010

ปิรามิดอาหารสำหรับคนวัยผู้ใหญ่และคนวัยทอง

ปิรามิดอาหารวัยทอง เป็นวิธีสื่อให้เข้าใจง่าย ว่าวันหนึ่งคนวัยทองควรจะรับประทานอะไรมาก อะไรน้อย ส่วนที่ควรรับประทานมากที่สุดจะอยู่ที่ฐานของปิรามิด ส่วนที่ควรรับประทานน้อยที่สุดจะอยู่ที่ยอดของปิรามิด โดยบอกจำนวนที่ควรรับประทานเป็นกี่ “ ที่ ” ของอาหารแต่ละชนิด

จะเห็นว่าฐานล่างสุดของปิรามิดซึ่งสำคัญที่สุดนั้นไม่ใช่อาหาร แต่เป็นน้ำ ซึ่งคนวัยทองควรดื่มวันละประมาณ 8 แก้ว เพราะเรื่องใหญ่ที่สุดก็คือคนวัยทองมักเผลอคือลืมดื่มน้ำ ทำให้ท้องผูก บางครั้งก็ทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ไตเสื่อมเร็ว เป็นการทำตัวเองให้เป็นโรคไตเรื้อรังโดยไม่ได้ตั้งใจ

ถัดขึ้นไป คืออาหารที่รับประทานได้มาก เป็นอาหารคาร์โบไฮเดรตพวกให้พลังงาน เช่น ข้าวและเมล็ดธัญพืชต่างๆ แนะนำให้รับประทานได้ถึงวันละ 6 ที่ คือถ้าเป็นขนมปังก็ 6 แผ่น ถ้าเป็นข้าวก็ประมาณ 3 ถ้วยตวงหรือ 3 จานขนาดไม่ใหญ่นัก

ถัดขึ้นไปเป็นอาหารวิตามินและเกลือแร่ แบ่งเป็นสองซีก ซีกซ้ายเป็นผักต่างๆ ซึ่งแนะนำให้รับประทานวันละ 3 ที่หรือเทียบได้กับสลัด 3 จานเลยทีเดียว ซีกขวาเป็นผลไม้ แนะนำให้รับประทานวันละอย่างน้อย 2 ที่ เทียบได้กับผลไม้ขนาดเขื่อง เช่น แอปเปิ้ล กล้วย วันละสองผล การรับประทานผักและผลไม้มากมีคุณอนันต์ ช่วยลดการเกิดอัมพฤกษ์อัมพาต ลดการเป็นโรคหัวใจหลอดเลือด และอาจช่วยลดโอกาสเป็นเบาหวานได้อีกด้วย

ชั้นถัดขึ้นไปอีกเป็นอาหารโปรตีน แบ่งเป็นสองซีก ซีกซ้ายเป็นอาหารนม ชีส และโยเกิร์ต แนะนำให้ดื่มวันละ 3 ที่ เทียบได้กับนมวันละสามแก้ว ส่วนซีกขวาเป็นอาหารโปรตีนจากปลา ถั่ว และเนื้อ แนะนำให้รับประทานวันละสองที่ เทียบได้กับปลาทูสองตัว หรือไข่ทอดสองฟอง หรือเนื้อสะเต๊กประมาณหนึ่งแผ่น

ชั้นบนสุดเป็นส่วนที่ควรรับประทานแต่น้อย แบ่งเป็นสองซีก ซีกซ้ายคือไขมัน น้ำมัน น้ำตาล ซึ่งควรรับประทานให้น้อยที่สุด ส่วนซีกขวาคือวิตามินและแร่ธาติเสริมเช่น แคลเซียม วิตามินดี วิตามินบี 12 ซึ่งเป็นสิ่งมีประโยชน์สำหรับคนวัยทอง

อ้างอิง: Health.Co.Th Journal 2010:2:2-2.

ปัญหาของ "การกิน" ฉบับฉีกั๋วลิ

พวกเราล้วนรู้ดีว่า อนุสาวรีย์รูปกรวยสี่เหลี่ยม "เจดีย์ปิระมิดทองคำ" เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดในทวีปเอเซียของเรา

ปิระมิดทองคำของตัวเราคืออะไร
คำตอบคือ ธัญพืชจำพวกข้าว, ถั่ว, ผัก, ข้าว, ถั่ว

ดีจริงๆ ในสมัยที่ได้ประุชุมกันที่เมืองซานฟรานซิสโก มีนายแพทย์หลายท่านในต่างแดนต่างพูดเสียงเดียวกันว่า คนจีนเดี๋ยวนี้ไม่นิยมกินข้าว, ถั่ว, ผักแล้ว เพราะได้หันไปกินผลิตภัณฑ์ของนอกแฮมเบอร์เกอร์เรียบร้อย

ข้าพเจ้ากลับเมืองจีนได้เข้าไปในร้านขายอาหารแม็คโดนัลด์ ถูกวัยรุ่นเบียดออกมาจากร้าน คนเยอะจริงๆ แต่เมืองนอกไม่เคยมีเหตุการณ์เยี่ยงนี้ พวกเราเยาวชนเมื่อถึงวันเกิดมักเข้าไปเฉลิมฉลองงานวันเกิดในร้านแม็คโดนัลด์กันทั้งนั้น ข้าพเจ้ามีความเลื่อมใสท่านแม็คโดนัลด์ เขาได้นำเงินออกนอกประเทศปีละ 20 กว่าล้านเหรียญ พวกเขาทำการค้าได้เก่งจริงๆ อาศัยสิ่งที่ข้าพเจ้ายึดถืออยู่นั้น

สาเหตุที่พวกเราบอกว่ามันเป็นอาหารขยะ ก็เพราะมันเป็นอาหารประเภทปลุกเร้า กระตุ้นให้บังเกิดความอยากในการกิน ผลที่ออกมาก็คือ อ้วนท้วนสมบูรณ์ ทั้งข้างบนและข้างล่าง เหมือนม้วนสัมภาระเดินทาง

พวกเขาไม่กินกัน เพราะกินแล้วต้องไปลดความอ้วน

พวกเราไม่มีความรู้ ทุกวันเข้าไปกินแม็คโดนัลด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนรุ่นที่ 2 ปราศจากแม็คโดนัลด์แล้วอยู่ไม่ได้

พวกเราสมควรที่จะต้องรับรู้ว่ามันคืออาหารประเภทปลุกเร้ากระตุ้นให้เราอยากกิน มันไม่เหมาะสำหรับความเป็นอยู่ของเรา รวมไปถึงความเคยชินของพวกเราด้วย


ข้าวโพด เปรียบเสมือนทองคำ

คณะแพทย์ของอเมริกา ได้ทำการสำรวจคนอเมริกาสมัยต้นๆ ชาวอินเีดียนแดงไม่ปรากฏว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง, ไม่มีปัญหาเรื่องเส้นโลหิตแดงแข็งตัว

แท้จริงคือเป็น สาเหตุที่พวกเขาชอบกินข้าวโพดนี่เอง

ต่อมาได้ค้นพบว่า ภายในข้าวโพด อุดมไปด้วย ไขมันลอริน, กรดอาหยิว, หัวยอดข้าว, วิตามินอี ดังนั้นจึงทำให้ไม่มีความดันโลหิตสูงและไม่มีปัญหาเรื่องเส้นโลหิตแดงแข็งตัว

ตั้งแต่นั้นมาอเมริกาเปลี่ยนแปลงทันที, ทวีปอเมริกา, ทวีปแอฟริกา, ทวีปยุโรป ประเทศญี่ปุ่น, ฮ่องกง เมืองกวางโจวของจีน ตอนเช้าๆ ล้วนนิยมกินซุบข้าวโพดกันแล้ว

เดี๋ยวนี้มีผู้คนมากมายนิยมกินไขมันลอริน ทำไมหรือ?
เพราะไม่ต้องการให้เส้นโลหิตแดงเกิดการแข็งตัว แต่พวกเขาต่างก็ยังไม่รู้ว่าภายในข้าวโพด อุดมมากที่สุด ไม่ต้องไม่เสียเงินแพงๆ ซื้อหา

สมัยที่ข้าพเจ้าอยู่อเมริกาได้ทำการตรวจสอบ ข้าวโพด 1 ฝัก ขาย 2.5 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐ แต่ข้าวโพดขายในเมืองจีน ฝักละ 1 เหรียญของจีน ห่างกันถึง 16 เท่า แต่ว่าพวกเราส่วนใหญ่ไม่รู้และไม่นิยมกินข้าวโพด จากการสำรวจครั้งที่ผ่านมา ข้าพเจ้าตั้งใจปรับเปลี่ยนทันที อยู่ที่ประเทศอเมริกา ข้าพเจ้ายืนหยัดมาเป็นเวลา 6 ปีแล้ว ทุกวันดื่มกินโจ๊กข้าวโพด ปีนี้ข้าพเจ้าอายุ 70 กว่าปีแล้ว มีกำลังกายสมบูรณ์ กระปรี้กระเปร่า น้ำเสียงที่ออกจากลำคอก้องกังวาน พลังลมปราณเหลือเฟือ และบนใบหน้ายังไม่พบเห็นรอยเหี่ยวย่นเลย นี่คือผลจากการดื่มโจ๊กข้าวโพด เชื่อหรือไม่แล้วแต่ท่าน พวกท่านดื่มน้ำนมวัวของท่าน แต่ข้าพเจ้านิยมดื่มกินโจ๊กข้าวโพด คอยดูต่อไปว่าใครจะมีอายุยืนมากกว่ากัน

เดี๋ยวนี้คนเราล้วนมี "ความสูง 3 อย่างที่น่ากลัว"
คือ ความดันโลหิตสูง, ไขมันในโลหิตสูง และ น้ำตาลในเส้นเลือดสูง

ข้าวสาลี มีสรรพคุณลดความสูง 3 อย่างที่ยอดเยี่ยม

มันช่วยลดความดันโลหิตสูง, ลดไขมันในเส้นเลือดที่สูง และลดปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดได้ด้วย

ข้าพเจ้าเคยถามนักศึกษาในมหาวิทยาลัยปักกิ่งว่าเคยรู้จักข้าวสาลีหรือไม่

ล้วนแต่ตอบว่าไม่รู้จัก รู้จักแต่แฮมเบอร์เกอร์

ภายในข้าวสาลีประกอบด้วยเซลลูโลส 18% ผู้ที่กินข้าวสาลีจะไม่เป็นโรคมะเร็งในลำไส้, มะเร็งลำไส้ตรง, มะเร็งลำไส้ใหญ่ตอนกลาง เป็นต้น พวกเราผู้ที่ทำงานในห้องสำนักงานมีร้อยละ 20 มักจะป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ตรง และ มะเร็งกระเพาะอาหาร


มันสีขาว, มันสีแดง, มันสำปะหลัง, มันฝรั่ง

อาหารเหล่านี้ได้ถูกกล่าวถึงในที่ประชุมนานาชาติ ทำไมหรือ?

เพราะมันมีสรรพคุณในการดูดซับ 3 ประการ คือ  ดูดซับน้ำ, ดูดซับไขมันและน้ำตาล และ ดูดซับสารพิษ

ดูดซับน้ำ ทำให้ทางเดินอาหารได้รับการหล่อลื่น ทำให้เราไม่เป็นโรคมะเร็งลำไส้, มะเร็งลำไส้ตอนกลาง 
ดูดซับไขมันและน้ำตาล ทำให้เราไม่เป็นโรคเบาหวาน
ดูดซับสารพิษ ทำให้ไม่เป็นมะเร็งทางเดินอาหาร

ข้าวโอ๊ต (Oats) เมืองนอกเขารู้จักนานแล้ว ชาวจีนจำนวนมากยังไม่รู้จัก

ถ้าท่านเป็นโรคความดันโลหิตสูง ท่านจะต้องกินข้าวโอ๊ต ข้าวต้ม ขนมแผ่นๆ ที่ทำจากข้าวโอ๊ต เพราะข้าวโอ๊ตมีสรรพคุณในการ ลดปริมาณของไขมันในเส้นเลือด ลดความดันโลหิต ลดไตรกลีเซอไรด์ ส่งผลทำให้ไขมันในเส้นเลือดลดน้อยลงไปได้

ข้าวฟ่าง หรือ ข้าวเจ้าเม็ดเล็ก 

หนังสือตำราสุมนไพรบันทึกไว้ชัดเจนว่า

ข้าวสาร "ข้าวเจ้าเม็ดเล็ก" นอกจากสามารถดูดซับความชื้นแล้ว ยังมีสรรพคุณในการบำรุงม้ามด้วย ทำให้บังเกิดความสงบและนอนหลับสบายด้วย

มีประโยชน์มากมายเช่นนี้ ทำไมท่านไม่กินล่ะ ขอให้รับรู้ไว้ด้วยว่าพนักงานออฟฟิซ จำนวนมากในสมัยปัจจุบัน มักมีอาการเป็นโรคนอนไม่หลับ, มีอาการซึมเศร้า, สภาวะทางจิตไม่ดี ต้องพึ่งยานอนหลับ

ข้าพเจ้าได้แนะนำไปว่า อย่าไปกินยานอนหลับ ให้หันมากินโจ๊กข้าวเม็ดเล็กๆ ดีกว่า ผลออกมาเป็นอย่างไรหรือ ผู้ป่วยได้ไปดื่มกินโจ๊กข้าวเจ้าเม็ดเล็กๆ 1 ถ้วย แล้วมาบอกข้าพเจ้าว่าดื่มกินแล้วทำไมยังนอนไม่หลับ ใครบ้างเล่าที่จะให้ท่านดื่มกินแค่ถ้วยเดียว ยาเสพติดเท่านั้นที่จะออกฤทธิ์เร็วอย่างนั้น

ข้าพเจ้าได้ไปตรวจสอบในชนบท พวกผู้เฒ่าในชนบทไม่มีใครที่จะมีอาการนอนไม่หลับเลย เมื่อหัวถึงหมอนก็นอนหลับอย่างสบาย ข้าพเจ้าได้ทำการสังเกตอย่างละเอียด พวกเขานิยมกินข้าวต้มที่ทำมาจากข้าวสารเม็ดเล็กๆ ดังนั้น เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าได้ปรับเปลี่ยนอาหารการกินของตัวเอง ตอนเช้ากินโจ๊กข้าวโพดหนึ่งถ้วย จิตใจเบิกบาน ตอนเย็นกินโจ๊กข้าวสวยหนึ่งถ้วย นอนหลับสบาย ท่านว่าดีไหมครับ

พวกเราต้องทำความเข้าใจ อาหารคือยา ยาคืออาหาร
เป็นคำพูดของนักปราชญ์ "หลี่สือเจิน" หนังสือตำราสมุนไพรที่ท่านเขียนนั้น ล้วนเป็นอาหารทั้งสิ้น พวกเราทำไมไม่กินอาหารแทนยา จำเป็นต้องกินยาด้วยหรือ

ยาสิบขนานเป็นพิษ 9 ส่วน

ยังไม่เคยได้ยินว่ากินยาแล้ว สามารถรักษาสุขภาพแข็งแรงได้เลย ท่านฉินซีฮ่องเต้ทำไม่ได้, ราชาฮ่านอู่ตี้ก็ทำไม่ได้ ท่านก็ทำไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าขอออกตัวไว้ก่อน ข้าพเจ้าไม่ได้ต่อต้านการกินยา ผู้ต่อต้านการกินยาคือ คุณหลี่หงจื๊อแห่งลัทธิ "ฟ่าหลุนกง"

ข้าพเจ้าต่อต้านการกินยาแบบไม่ได้คิด "กินไม่เป็น" ข้าพเจ้ายึดหลักการกินยา 3 ข้อ คือ กินยาในระยะสั้นๆ, กินยาที่ไม่ทำให้ร่างกายทรุดลง และ หยุดกินยาให้เร็วที่สุด

หลัก 3 ประการเพื่อสุขภาพที่ดี ฉบับอาจาย์ฉีกั๋วลิ

เนื้อหาที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นเนื้อหาจากหนังสือ "รักษ์ชีวิตสุขภาพแข็งแรง" ซึ่งเป็นเอกสารบันทึกการบรรยาย เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2546 ณ. เมืองปักกิ่ง โดยอาจารย์ ฉีกั๋วลิ อดีตกรรมการเสริมสร้างอนามัยแห่งโลก อาจารย์คณะเสริมสร้างสุขภาพ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา

หนังสือเล่มนี้แปลจากต้นฉบับภาษาจีน โดยคำสั่งของประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูซันอินดัสเตรียล จำกัด (นายนำสิน ไหลสาธิต) ซึ่งมีความปรารถนาที่จะให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี เป็นวิทยาทาน เนื้อหานี้หากเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทาน ไม่มีการเรียกร้องค่าตอบแทน แต่ถ้าทำเพื่อจำหน่ายหรือมีการตอบแทน ขอสงวนสิทธิ์

----------------------------------
ขอขอบคุณ ว่าที่ รต.ทรงศักดิ์ อัมพรวิวัฒน์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาบุคลากร บริษัท ฟูซัน อินดัสเตรียล จำกัด ที่กรุณานำเนื้อหานี้มาเผยแพร่ให้พวกเราผู้รักสุขภาพได้อ่านกัน
----------------------------------

ในบทแรก อาจาย์ฉีกั๋วลิ กล่าวถึงการดำรงชีวิตของมนุษย์ จะต้องยึดหลัก 3 ข้อ ดังนี้คือ

หลักข้อที่ 1 การดื่มกินที่อยู่ในสภาพสมดุล
หลักข้อที่ 2 การออกกำลังกายที่มีก๊าซออกซิเจน
หลักข้อที่ 3 สภาวะที่ปรากฏทางจิตภายใน

ถ้าสามารถยึดหลักทั้งสามข้อนี้ได้ ก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดี และมีอายุยืนยาวขึ้น