Sunday, February 22, 2015

เส้นเลือดตีบรักษาได้

แพทย์เชียงใหม่-รามเผย
'ขิง พุทราจีน เห็ดหูหนู' มีส่วนช่วยรักษาเส้นเลือดสมองตีบได้

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2558 ที่คลินิคโรคทางสมองและประสาท ห้อง 4 ชั้น 4 โรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ นพ.ประชา กัญญาประสิทธิ์ ประสาทและศัลยแพทย์ โรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม อายุ 39 ปี เปิดเผยว่า จากการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบมาเป็นเวลานานพบว่า โรคนี้เป็นโรคที่ติดอันดับต้นๆ ของการเสียชีวิต โดยปี 2557 เส้นเลือดในสมองตีบทำให้คนเสียชีวิตเป็นอันดับ 2 และก่อให้เกิดความพิการเป็นอันดับ 1 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการรักษาค่อนข้างสูงมาก ทั้งการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันเฉลี่ยครั้ง 15,000 บาทต่อครั้ง และการใส่สายสวนเพื่อขยายหลอดเลือดแดงเฉลี่ย 200,000 บาทต่อครั้ง

"สาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบมี 3 ประการ ด้วยกันคือ

1.หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือลิ้นหัวใจมีปัญหา

2.เส้นเลือดที่บริเวณลำคอตีบทำให้ส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ และ

3. สมองตันจากไขมันหรือหินปูนเกาะ

ซึ่งคนทั่วไปที่หากมีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีโอกาสที่จะเส้นเลือดในสมองตีบได้ โดยเปรียบเทียบจากท่อน้ำที่มีอายุ มองภายนอกอาจไม่ทราบเพราะน้ำยังไหลอยู่ ไม่มีอาการ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ตีบหรือตัน ภายในย่อมเกิดสนิมเกาะและในที่สุดก็จะอุดตันได้ หรือคนที่มีโรคความดัน ไขมัน เบาหวาน และสูบบุหรี่ มีโอกาสที่เส้นเลือดจะขรุขระหรืออุดตันได้ง่าย และมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ รักษาทันก็ดีไป แต่หากไม่ทันมีโอกาสพิการ เรียกว่า ครึ่งต่อครึ่งพิการหากเป็น หรือเป็นอัมพาตได้ จึงคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้"

นพ.ประชา กล่าวว่า ที่ผ่านมาโรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม มีคนไข้ในความดูแลหลายรายที่มารักษาด้วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ ซึ่งเรามีนวัตกรรมใหม่ในการรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ใช้ใส่สายสวนลงไปที่เส้นเลือดแดงผ่านไปยังเส้นเลือดแดงใหญ่ที่หน้าอก คอ สมอง ขยายหลอดเลือดแดงที่สมอง แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้มีคนไข้รายหนึ่งเป็นชายมีอาการหลอดเลือดที่คอตีบเข้ามารับการรักษาเลือดไม่สามารถส่งผ่านไปเลี้ยงสมองทำให้เกล็ดเลือดอุดเป็นก้อน มีอาการอ่อนแรงและอัมพาตชั่วคราว ทางเราใช้ยารักษาและป้องกันจนอาการดีขึ้น แต่ต่อมาเกิดอาการซ้ำ มีการใช้ยาเพิ่ม 2 ตัว แต่เอาไม่อยู่ต้องผ่าตัดเพื่อทำบอลลูนขยายเส้นเลือด

"คนไข้รายนี้กลัวการผ่าตัดมาก จึงตัดสินไม่ผ่าตัด และขอไปรักษากินยาสมุนไพร ซึ่งหมอเตือนไปว่าอาจเกิดอาการอุดตันซ้ำ ขอให้กินยาแผนปัจจุบันที่หมอให้ควบคู่ไปด้วย 6 เดือนผ่านไปปรากฎว่าว่ามีเรื่องน่าสนใจและไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น หลังจากหมอเอกซ์เรย์และฉีดสีดูเส้นเลือดที่ตีบเส้นเดิมนั้น เส้นเลือดที่เคยตีบ หรือขรุขระ กลับเรียบสวย ไม่ต้องผ่าตัดแล้ว เป็นเรื่องที่หมอไม่เชื่อแต่น่าสนใจจึงสอบถามว่าไปทำอย่างไรมา คนไข้อธิบายได้ความว่าได้นำขิง พุทราจีนแห้ง และเห็ดหูหนูดำ มาตุ๋นรวมกัน ดื่มเช้า-เย็น กินแทนน้ำ ปัจจุบันหยุดยาแผนปัจจุบันไปเลย" 

นพ.ประชา กล่าวว่า รายที่ 2 มีอาการหนักมาก เพราะเส้นเลือดในสมองตีบ และเลือดออกในกระเพาะ อายุ 70 ปี ต้องให้ยารักษาประคองอาการ เพราะจะให้ยาละลายลิ่มเลือดในสมองไม่ได้ เพราะต้องรอแผลในกระเพาะหายก่อน จึงลองเล่าให้ลูกสาวฟังถึงอาการของคนไข้รายแรกว่าหายได้ด้วยสมุนไพร 3 อย่างที่กล่าวมา ซึ่งแพทย์เองก็ไม่ได้เชื่อ แต่ไม่อันตรายเลยอยากให้ลองดู เพราะยาแผนปัจจุบันใช้ไม่ได้ ปรากฎว่า 2 เดือนกลับมาตรวจใหม่เส้นเลือดเรียบดีขึ้น และได้ลองบอกคนไข้รายต่อไปที่สนิทกันว่าให้ลองนำสมุนไพรมาตุ๋นดื่ม อาจมีประโยชน์จริง ปรากฎว่าดีขึ้นทุกราย เพราะเส้นเลือดที่เคยขรุขระเรียบสวยขึ้น

"ผมก็เกรงว่าจะเป็นดาบสองคม จึงบอกเฉพาะคนไข้ที่สนิทกัน แต่ทั้ง 16 ราย ดีขึ้นหมด เพราะเหมือนเราล้างท่อทุกวัน จึงไม่มีทางตัน คนไข้รายที่ 2 กินแทนน้ำไม่มีผลข้างเคียงอะไรเลย ที่สำคัญไตยังทำงานได้ดีขึ้น เพราะพุทราจีนบำรุงไต ส่วนผสมที่เหมาะสมคือ น้ำ 1 ลิตร พุทราจีนแห้ง 20-30 ผล เห็ดหูหนูดำ 10 ช่อใหญ่ หรือ 20 ช่อเล็ก ขิง 1 ขีดใหญ่ ตุ๋นประมาณ 2-4 ชั่วโมง ได้น้ำ 50-60% กินแต่น้ำ"

นพ.ประชา กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้มีการพัฒนาต่อยอดในโรงพยาบาลของรัฐบาล เพราะเราไม่มีปริมาณคนไข้มากพอที่จะทำงานวิจัย แต่เมื่อรู้ว่าดีก็บอกต่อ ขณะนี้ยังไม่ได้ทำการพัฒนาและวิจัยว่าจริงหรือไม่จริง 100% แต่เห็นว่าเป็นประโยชน์ และยืนยันว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อน หากโรงพยาบาลรัฐจะทำการวิจัยโดยคนไข้จำนวนมากเพื่อดูผลก่อนและหลังว่าได้ผลกี่เปอร์เซนต์น่าจะดีและมีประโยชน์ในอนาคตในการป้องกันและรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบ แต่ในแง่ของการรักษาเบื้องต้นสามารถมารับการรักษาและรับคำแนะนำได้ที่คลินิคโรคทางสมองและประสาท โรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม ซึ่งทางโรงพยาบาลมีระบบช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก อาการคือ อ่อนแรง หรือชาแขนขาซีกใดซีกหนึ่งทันทีทันใดพูดไม่ชัด ไม่เป็นคำ หรือพูดไม่ได้ทันทีทันใด ปากเบี้ยว ตามืดมองไม่เห็นทันทีทันใดข้างใดข้างหนึ่ง หากมีอาการดังกล่าวให้รีบไปโรงพยาบาลทันที หากช้ากว่า 4 ชั่วโมงครึ่งอาจรักษาไม่ทันและทำให้เกิดความพิการตามมา

"ปัจจุบันหมอก็กินน้ำตุ๋นจากสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด เพราะเชื่อว่าแก้เส้นเลือดอุดตันทั่วร่างกาย ลดไขมัน ทุกคนในครอบครัวกินหมด โดยเฉพาะพี่ชายหมอ ซึ่งก็เป็นหมอเช่นกัน หลังลองกินแล้วไปเล่นกีฬาหนักๆ ไม่มีอาการปวดขาจากกล้ามเนื้อขาดเลือดอย่างที่เคยเป็นเลย ซึ่งหมอดีใจเพราะไม่อยากรักษาคนในครอบครัวที่เป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบเช่นกัน ส่วนตัวไม่อยากให้คนไทยเป็นโรคนี้เพราะเป็นแล้วจะพิการ โดยเฉพาะหัวหน้าครอบครัวที่เป็นแล้วทำให้ครอบครัวล่มสลาย จึงมีความหวังดีมาบอกต่อ โดยไม่หวังผลธุรกิจ"

Friday, February 20, 2015

ดื่มน้ำเย็นอันตรายจริงหรือ

เพราะปัจจุบันใคร ๆ ก็ดื่มน้ำเย็นกันทั้งนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์
อายุรวัฒน์นานาชาติ อธิบายว่า ความจริงการดื่มน้ำเย็นหลัง อาหาร คงไม่เป็นอันตราย ถึงขั้นทำให้
ไขมันจับ ตัวเป็นไข เป็นก้อนขนาดนั้น เพราะปกติอุณหภูมิร่างกายคนเราอยู่ที่ ประมาณ 37
องศาเซลเซียส น้ำที่เราดื่มเข้าไปถึงจะเย็น แต่ร่างกายเราร้อนอยู่แล้ว ก็จะเปลี่ยนให้เป็น
น้ำอุ่น ๆ อยู่ดี ไขมันกว่าจะจับกันเป็นก้อนแข็ง ต้องอาศัยอุณหภูมิเหมือน อยู่ในตู้เย็น
3-4 องศาเซลเซียส กรณีนี้จึงเป็นข้อความหลอก

ถ้าถามว่า เราควรจะดื่มน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นดี ก็ต้องขอเรียนว่า น้ำเย็นจะช่วยเติมน้ำ
ให้ร่างกายได้ดีกว่าน้ำอุ่น เพราะว่าน้ำ เย็นดูดซึมได้เร็วกว่า ตรงนี้เป็นข้อมูลจากสถาบัน
วิทยา ศาสตร์การกีฬาของสหรัฐ เขาบอกเลยว่า น้ำที่ควรจะดื่ม ถ้าอยากให้สดชื่น ออกกำลังกาย
ได้อึดขึ้น อุณหภูมิควรอยู่ ที่ประมาณ 15-22 องศาเซลเซียส หรือง่าย ๆ คือ ให้ดื่มน้ำ
ที่อุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิร่างกาย

ไม่มีงานวิจัยฉบับไหนเลยที่บอกว่าดื่มน้ำเย็นแล้วจะเป็น มะเร็ง อีเมลในลักษณะนี้มีการส่ง
ต่อกันไปทั่ว แม้แต่ในต่างประเทศ ดูเหมือนจะเป็น วิชาการ แต่กลับไม่มีข้อมูลทาง
วิทยาศาสตร์มารับรอง ทำให้คนกลัวกันมาก ดังนั้นคนที่ได้รับอีเมลจะต้องใช้วิจารณญาณให้ดี

การดื่มน้ำเย็นเป็นผลดีด้วยซ้ำ เพราะ จะช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย เนื่องจากร่างกายต้องใช้พลังงานในการ
ทำให้น้ำอุ่นขึ้น โดยน้ำ 1 แก้ว จะช่วยเผาผลาญไขมันประมาณ 9 กิโลแคลอรี ถ้าเราดื่มน้ำ 8 แก้วก็จะเผาผลาญ
ไขมันได้ถึง 70 กิโลแคลอรีเลยทีเดียว นั่นก็หมายความว่า ยิ่งดื่มน้ำมาก ก็จะยิ่งช่วยลดความอ้วน แต่ในคนที่กำลัง
ลดความอ้วน ลดปริมาณอาหารแต่ลืมดื่มน้ำ ต้องระวัง เพราะน้ำหนักจะไม่ลง เพราะน้ำคือตัวช่วยทำให้ไขมันสลาย
เร็วขึ้นนั่นเอง

ส่วนที่หลายคนสงสัยว่า การดื่มน้ำ มาก ๆ ไตจะทำงานหนักไปหรือไม่ ก็ต้องบอกว่า น้ำจะเป็นพิษต่อร่างกายนั้น
ต้องดื่มมากเป็น 10 ลิตร อย่างเช่น กรณีการรับน้องแบบพิเรนทร์ ๆ ที่เราเห็นข่าวกัน ส่วนคนทั่วไปดื่มน้ำอย่างเก่ง
สัก 5 ลิตรก็ไม่เป็นอะไร

ดังนั้นไม่ว่าจะดื่มน้ำเย็น น้ำร้อน หรือน้ำอุณหภูมิปกติ ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร หลักการ ง่าย ๆ คือ น้ำเย็น ควรดื่ม
เวลาออกกำลังกาย จะดูดซึมเร็ว แต่มีข้อห้ามในผู้หญิงที่มีประจำเดือน ไม่ควรดื่มน้ำเย็น เพราะจะยิ่งทำให้
ปวดท้องมากขึ้น ส่วนน้ำอุ่น ควรดื่มเพื่อกระตุ้นลำไส้ ทำให้ลำไส้บีบตัวดี เช่น เวลาท้องเสีย เจ็บคอ เป็นหวัด

นพ.กฤษดา บอกว่า ใครที่ไม่อยากแก่ ต้องดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้น เนื่องจากผิวที่แก่เกิดจากการ
ขาดน้ำ การดื่มน้ำมาก ๆ ยังช่วยทำให้สมองปลอดโปร่ง แต่ถ้าดื่มน้ำน้อย โดยเฉพาะในผู้ชายอาจทำให้น้ำไปเลี้ยงอสุจิไม่พอ ทำให้อสุจิไม่แข็งแรง และเซ็กซ์เสื่อมได้

ในคนที่มีอาการคล้ายจะเป็นหวัด เช่น ปากแห้ง ตาแห้ง อย่าเพิ่ง กินยา ให้ดื่มน้ำมาก ๆ สักพักจะหายได้
โดยไม่ต้องพึ่งยา ที่เป็นเคล็ดสำหรับคนดื่มเหล้า คือ ถ้ากลัวว่า จะแฮงก์ควรดื่มน้ำตามเข้าไปประมาณ 4 เท่า
ของเหล้าที่ดื่มก็จะช่วยได้

แต่ละวันเราควรดื่มน้ำมากน้อยแค่ ไหน ? นพ.กฤษดา บอกว่า ควรดื่มน้ำตามน้ำหนักตัว คือ ดื่มน้ำ 1 ออนซ์
ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ถ้าน้ำหนักตัว 60 กก.ก็ต้องดื่มน้ำ 60 ออนซ์ โดยน้ำ 1 ออนซ์ก็ประมาณ 30 ซีซี
คนน้ำหนัก 60 กก. ก็ต้องดื่มน้ำประมาณ 1,800 ซีซี.
          

Monday, February 9, 2015

ขึ้นรถเปิดแอร์ทันที อันตรายใกล้ตัว

คู่มือรถทุกคันจะบอกว่า เมื่อขึ้นรถแล้วให้ลดกระจกลงก่อนเปิดแอร์เพื่อถ่ายเทความร้อนในตัวรถออกไป
ทำไมถึงบอกอย่างนั้น? ไม่น่าแปลกใจที่ปัจจุบันมีคนตายด้วยมะเร็งมากขึ้น เวลาขึ้นรถ อย่าเพิ่งรีบเปิดแอร์ทันที ให้ลดกระจกลงเพื่อให้ความร้อนระบายออกไป อย่างน้อยสัก 2-3 นาทีถึงค่อยเปิดแอร์ เพราะอุปกรณ์พลาสติกในรถ เมื่อโดนความร้อนสะสมในรถจะมีการปล่อยสารเบนซีน ที่เป็นสารก่อมะเร็งออกมา มีผลต่อสุขภาพ กระดูก และลดปริมาณเม็ดเลือดขาว ในระยะยาวจะทำให้เป็นลิวคีเมีย และเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งชนิดอื่นๆ นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุทำให้หญิงตั้งครรภ์แท้งบุตรได้ 
ระดับสารเบนซีนในที่ร่มที่รับได้คือ 50 ม.ก. ต่อตารางฟุต

รถที่จอดในที่ร่มแต่ปิดหน้าต่าง จะมีสารเบนซีน 400-800 ม.ก. คือ 8 เท่าของระดับที่รับได้

แต่หากจอดรถกลางแจ้ง ที่มีอุณหภูมิ 60 องศาฟาเรนไฮต์ ระดับสารเบนซีนจะขึ้นไปถึง 2000-4000 ม.ก. คือ 40 เท่าของระดับที่รับได้

ใครที่ขึ้นรถแล้วไม่เปิดหน้าต่าง จะหายใจเอาสารพิษของเบนซีนเข้าไปจำนวนมาก ซึ่งจะทำลายตับ ไต และยากจะขับออก

บทความนี้ตบท้ายว่า เมื่อใครสักคนแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้คุณ และคุณได้รับประโยชน์จากมัน คุณก็ต้องมีสำนึกที่ดีที่ต้องแบ่งปัน ต่อให้ผู้อื่นเช่นกัน

Saturday, February 7, 2015

ดูแลสุขภาพเท้า ดูแลสุขภาพคุณ

ทำไมเราควรดูแลเท้าให้ดี? 
Anti - Aging Medication

เท้า เพื่อนผู้ซื่อสัตย์ ผู้ปิดทองหลังพระให้เราทุกคนได้ยืนได้เดินได้วิ่ง ทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งวัน ไม่เคยปริปากบ่น แม้เราจะ ละเลยไม่เคยเหลียวแลเท่าที่ควร

ทำไมเราควรดูแลเท้าให้ดี?

ทราบไหมว่าหากเราเอาใจใส่ดูแลเท้าบ้าง เท้าจะมอบขุมทรัพย์ใหญ่ คือ สุขภาพที่ดี และอายุยืนยาวแก่เรา

สุขภาพของเรา ขึ้นอยู่กับการไหลเวียนที่ดี ของกระแสเลือด น้ำเหลือง และกระแสประสาท ร่างกายของเราเหมือนเครือข่ายการไหลเวียนที่ซับซ้อน และละเอียดอ่อน

ทุกส่วนเชื่อมโยงประสานงานกัน เหมือนวงดนตรีวงหนึ่ง หากส่วนใด ทำงานไม่ประสานกัน จะเกิดเสียงเพลงที่ไพเราะ คือ สุขภาพร่างกาย และจิตใจที่ดีได้อย่างไร

โดยเฉพาะเท้า เป็นช่องทางไหลเวียนขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับร่างกาย โอกาสที่จะอุดตันจากของเสียต่างๆ จึงเกิดได้ง่ายหากไม่ขยับขยายช่องทางที่อุดตัน

ก็จะส่งผลกระทบต่ออวัยวะต่างๆ เป็นลำดับต่อเนื่องกันไป จนส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ธรรมชาติให้เราเดินเท้าเปล่าสัมผัสพื้นดิน

ซึ่งการเดินบนทางที่มีกรวดหินกิ่งไม้ใบไม้ จะช่วยกดนวดขยับขยายช่องทางไหลเวียนโดยอัตโนมัติ แต่ชีวิตคนยุคนี้ เราเดินอยู่บน รองเท้า หรือ พื้นอาคารเรียบๆ และไม่ได้สัมผัสพื้นดินเลย

หากโชคดีเป็นคนดูแลสุขภาพ ไปรับการบีบนวด เพื่อขยับขยายช่องทางไหลเวียนในเท้าได้บ่อยๆ สุขภาพก็ดีกว่าคนที่ไม่ได้ บีบนวดบ้าง แต่จะมีสักกี่คนโชคดีแบบนั้น และมีสักกี่คนที่พูดได้เต็มปากว่า “ฉันสุขภาพดี”

#แช่เท้าในน้ำอุ่นช่วยได้อย่างไร?

น้ำอุ่นๆ จะช่วยให้ช่องทางต่างๆ ขยายตัว ของเสียที่อุดตันช่องทางอยู่ จึงมีโอกาสหลุดออก ทำให้ช่องทางไหลเวียนสะอาดโล่งขึ้นทุกครั้งที่แช่เท้าในน้ำอุ่นๆ

ยิ่งหากบีบนวดไปด้วย ก็ยิ่งทำให้เท้า กลับมาเป็นช่องทางไหลเวียน ที่ดีขึ้นโดยเร็ว เราก็มีสุขภาพ ดีขึ้นโดยเร็วได้

#แช่เมื่อไหร่ดี?

แนะนำให้แช่เท้าในน้ำอุ่น สัก 5-10 นาที ก่อนนอนทุกคืน คุณจะหลับสบาย หลับลึก และไม่ต้องใช้วิธีนับแกะ หรือ ยาเคมีที่มีผลข้างเคียงต่อสุขภาพคุณในระยะยาว

แช่เท้าเสร็จแล้วไม่ควรทำกิจกรรมอื่นใด เช่น ทำงานหรือดูทีวี ควรเข้านอนทันที ลงทุนแช่เท้าในน้ำอุ่น 5-10 นาที แลกกับการหลับสบายหลับลึก

#จำเป็นต้องบีบนวดหรือใส่เกลือไหม?

น้ำเกลือ ช่วยดูดซับ ประจุเสียจากร่างกายได้เทียบเท่า กับการที่เราสัมผัสพื้นดินด้วยเท้าเปล่า แนะนำให้ทำสัปดาห์ละ1-2 ครั้ง ใส่เกลือ 1-2 ช้อนชาต่อน้ำแช่เท้า 1 กะละมัง ก็เพียงพอ การบีบนวดช่วยให้ของเสียอุดตันหลุดง่ายขึ้น เหมือนขุดลอกคูคลองให้น้ำไหลสะดวกขึ้น แต่หากบีบนวดไม่สะดวกเพราะติดว่าคุณอ้วนหรือเอวตึงขาตึงก็ขอให้แช่เท้าในน้ำอุ่นจัดสักหน่อย

#แนวบีบนวด จะเป็นดังนี้

1. สันด้านข้างเท้าด้านในเป็นแนวกระดูกสันหลัง บีบนวดไล่จากสันเท้าขึ้นไปถึงนิ้วหัวแม่เท้า เทียบเท่าการดูแลกระดูกสันหลังจากก้นกบขึ้นไปถึงศีรษะ จะช่วยให้ทุกๆ ระบบซึ่งเชื่อมต่อกับกระดูกสันหลังทำงานดี

2. จับนิ้วเท้าแต่ละนิ้ว โยกซ้าย-ขวา-ขึ้น-ลง-หมุนๆไป-หมุนๆกลับ เทียบเท่ากับหมุนคอช่วยให้ส่งเลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น

3. งอนิ้วล้วงจากโคนนิ้วเท้าขึ้นมาปลายนิ้วทุกนิ้ว เทียบเท่ากับการนวดคอและท้ายทอย ทำให้เลือดไปเลี้ยงจมูก ตา หู มากขึ้น

4. นวดหลังเท้าและข้อเท้า เทียบเท่ากับนวดกล้ามเนื้อ, เส้นเอ็น, ต่อมน้ำเหลืองของร่างกายด้านหน้าและเอว

5. นวดฝ่าเท้า ส่วนที่ชิดโคนนิ้วเท้า เท่ากับนวดบ่า ส่วนกลางเท้า คือ ระบบอวัยวะภายในช่องอก ช่องท้องช่วยให้การย่อยอาหารและขับถ่ายดีขึ้น

6. นวดข้างเท้าด้านนอก เทียบเท่ากับนวดแขนขา นวดใต้ตาตุ่ม ช่วยให้ข้อสะโพกสบายขึ้น

7. นวดบริเวณด้านข้างของส้นเท้า ทั้งด้านนอกและด้านใน ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนทั้งเพศชายและเพศหญิง สำหรับผู้ที่เข้าวัยทอง

หวังว่าคุณจะได้พบกับสุขภาพที่ดี จากการแช่เท้าในน้ำอุ่น ก่อนนอนทุกคืน และมีคุณภาพชีวิตที่ดี อายุยืนนาน...

แชร์ให้กับคนที่คุณรักและห่วงใยได้นะคะ ^_

Friday, February 6, 2015

คุณซ่อมคนเหมือนซ่อมเครื่องจักรอยู่หรือไม่

"หยุดซ่อมคน และปลูกนาฬิกา"

ถ้าจะแบ่งประเภทของ "สิ่ง" บนโลกใบนี้ออกคร่าวๆที่สุด
ก็คงจะแบ่งได้สอง "สิ่ง" คือ:
1. สิ่งมีชีวิต
2. สิ่งไม่มีชีวิต

เมื่อสิ่งไม่มีชีวิตเกิดพัง หรือทำงานไม่ได้ดั่งใจเรา เราจะทำการ "ซ่อม" มัน เช่นเวลารถพัง บ้านพัง หรือนาฬิกาพัง
ถ้าเราอยากให้มันกลับมาทำงานดั่งใจต้องการอีกครั้ง 
เราต้องใช้ "กำลัง" ในการบังคับซ่อมแซม การทิ้งนาฬิกาที่แตกเอาไว้เฉยๆ
จะไม่ทำให้มันประกอบขึ้นมาเองเป็นนาฬิกาใหม่...
การปล่อยรถที่พังเอาไว้เป็นปีๆ มีแต่จะทำให้มันผุพังยิ่งกว่าเดิม...
และหากหลังคาบ้านเราเป็นรู การนั่งเฝ้าดูมันทุกวัน
ก็จะไม่ช่วยทำให้รูนั้นหายไป...

ถ้าเราอยากจะซ่อมหรือเปลี่ยนแปลง "สิ่งไม่มีชีวิต"
ให้อยู่ในสภาพที่ดีกว่าเดิม เราต้องใช้การลงมือ ลงแรง และลงกำลัง

ปัจจัยด้านการรอเวลา สร้างสภาพแวดล้อม หรือการให้ความรัก
ไม่เกี่ยวกับการซ่อมแซม "สิ่งไม่มีชีวิต" ให้ใช้งานได้
นี่คือหลักการซ่อมเครื่องจักร ที่เรามักรู้กันอยู่แล้ว
แต่ปัญหาคือ เรามักจะเอาวิธีการเดียวกันนั้นไป "ซ่อม" สิ่งที่มีชีวิต...

ถ้าเราอยากให้ต้นกล้าโตไวๆ การเดินไปดึงมันขึ้นมาแล้วบอกว่า
"เห้ย! โตเร็วๆสิแก!" จะทำให้มันตายทันที
ถ้าเราอยากให้ไก่ออกไข่เยอะๆ เราสามารถฉีดสารเร่งได้
แต่มันจะทำให้ทั้งไก่และคนกินไก่ป่วย เป็นโรคสารพัด
ไม่สมประกอบ และอาจถึงตายได้ทั้งไก่และคน
ตั้งแต่ฟาร์มเห็ดไปจนถึงเป็ดเลี้ยง

การ "บังคับ" สิ่งมีชีวิตให้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
หรือใช้แรงในการบังคับให้มันเติบโตตามที่ใจเราต้องการ
ไม่เคยให้ผลดีในระยะยาว...

การบังคับใจคน อาจทำให้เราได้ในสิ่งที่ต้องการตอนนี้
แต่ต่อไปความอัดอั้นตันใจนั้น จะสะสมเป็นความเครียด
ความเกลียด ความแค้น ความเศร้า ความทุกข์ การหลอกลวง
คำโกหก และความสกปรกนานัปการ

ถ้าอยากให้ต้นกล้าโตไวๆและงดงาม
เราทำได้เพียง "สร้างสภาพแวดล้อม" ที่ดีที่สุดให้มัน
รดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน จากนั้นก็ "ปล่อย" ให้มันโตตามเวลาของมัน...

ถ้าเราอยากให้ไก่แข็งแรงและออกไข่เยอะๆ
เราทำได้เพียงให้อาหารที่เหมาะสม ให้น้ำ ให้ที่อยู่
สร้างที่วิ่งเล่นออกกำลังกาย และให้ความรักความเอาใจใส่
จากนั้นก็ "ปล่อย" ให้มันได้เติบโตตามเวลาของมัน

ถ้าเราอยากให้ใครสักคนรักเรา เราไม่มีทางบังคับจิตใจเขาได้
ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นลูก พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง หรือแฟนของเรา
ยิ่งบังคับ ความรักยิ่งไม่มีทางเกิดขึ้น  เพราะหลุมของความรักต้องอาศัยการเดิน "ตก" ลงไปด้วยตัวเองเท่านั้น ไม่มีใคร "ถีบ" ใครลงหลุมของความรักได้

ฉะนั้น เราทำได้ดีที่สุดเพียง "สร้างสภาพแวดล้อม" ที่เหมาะสมสำหรับให้ความรักเติบโต ดูแล เอาใจใส่ ห่วงใย ให้เวลา สร้างความสุข สร้างความดี สร้างความจริงใจสร้างความอบอุ่น จากนั้นเราก็ทำได้เพียง "ปล่อย" ให้ความรักเติบโตงดงามตามเวลาของมันเอง
ไม่ต่างจากต้นไม้ทุกต้น และชีวิตทุกชีวิต...

ทุกๆ "ความสัมพันธ์" ก็ทำงานเหมือนกับสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง
ซึ่งก็หมายความว่ามันต้องอาศัยสมดุลระหว่างการ  "ปลูก" และการ "ปล่อย" อย่างมีศิลปะ

ปัญหาของความสัมพันธ์แทบทุกชนิดบนโลกนี้ คือการที่ฝ่ายหนึ่งพยายาม "ซ่อม" อีกฝ่ายหนึ่งให้เป็นได้ดั่งใจ เพราะเรามองว่าเขากำลัง "พัง" อยู่ 

"คน" ไม่ใช่ "นาฬิกา" คนเป็นสิ่งมีชีวิต และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะเปลี่ยนแปลง และเติบโตอย่างงดงามได้ ก็ต่อเมื่อเราหมั่นสร้าง "สภาพแวดล้อม" ที่เอื้ออำนวยให้แก่สิ่งมีชีวิตนั้นได้เปลี่ยนแปลงด้วยตัวของมันเอง
จากนั้นเราก็ต้องหัดปล่อยวางให้เป็น...

ตราบใดที่เรายังพยายาม "ซ่อม" คน โดยการใช้เสียงที่ดังกว่า
ใช้วาจาเอาชนะ ใช้กำลัง ใช้แรง ใช้เงื่อนไข ใช้การบังคับ
หรือใช้อำนาจเพื่อเปลี่ยนแปลงเขาอยู่ เราก็มีสภาพไม่ต่างจากชาวนา ที่เอานาฬิกาหน้าปัดแตกไปปลูกไว้กลางทุ่งหญ้า
...แล้วบ่นว่ามันไม่ยอมซ่อมแซมตัวเองสักที...

อย่า "ดึง" ใครให้โต เพราะเขาจะ "ตาย" ช้าๆจากภายใน
สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การเติบโตและเปลี่ยนแปลง
ด้วยความรัก ความรู้ และการเป็นตัวอย่างที่ดี
แสดงให้เขา "เห็น" ในสิ่งที่เราอยากให้เขา "เป็น"
เริ่มปรับที่ตัวของเรา และสุดท้ายเขาจะซึมซับสิ่งดีๆจากเราไปเอง
ไม่ต่างจากต้นไม้ที่ซึมซับสารอาหารและน้ำจากสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์ โดยไม่ต้องมีใครไปยืนดุด่าว่ากล่าว หรือบังคับมัน
คนคือสิ่งมีชีวิต และสิ่งมีชีวิตเติบโตด้วยการ "ซึมซับ"
ไม่ใช่ด้วยการ "บังคับ" จากใคร

และหากวันหนึ่งความสัมพันธ์ของเราพัง โปรดจำไว้ว่า...
"คนไม่ได้มีไว้ให้ซ่อม และนาฬิกาก็ไม่ได้มีไว้ให้ปลูก"
โปรดข้องเกี่ยวกับสอง "สิ่ง" นี้อย่างเหมาะสม
เพราะมันต้องอาศัยสองศาสตร์ที่แตกต่างกัน

เครื่องจักร ต้องใช้ "แรง" ในการปรับ
แต่หัวใจ ต้องใช้ "รัก" ในการเปลี่ยน
การใช้ "รัก" เปลี่ยนเครื่องจักร
และการใช้ "แรง" เปลี่ยนหัวใจ
คือการใช้ชีวิตอย่างไร้ศิลปะ
และชีวิตที่ใช้อย่างไร้ศิลปะ
ย่อมต้องปะทะกับความทุกข์
อยู่ตลอดเวลา...

ด้วยรัก ♥,
ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร.