Sunday, November 6, 2016

สุดยอดวิธียืดอายุ 10 อวัยวะ

เห็นมีประโยชน์สำหรับทุกคน เลยนำมาให้อ่านอีกเพื่อจะได้นำไปปฏิบัติตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ใครทำใครได้
สุดยอดวิธียืดอายุ 10 อวัยวะ

เราเคยชินกับความรู้ที่ว่า อวัยวะจะเสื่อมไปตามเวลา วิธีการยืดอายุอวัยวะมีร้อยแปดพันประการ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ดร.โรแนน แฟคโทรา แห่งสถาบันการแพทย์ Cleveland Clinic ประเทศสหรัฐอเมริกา เด็ดยอดวิธียืดอายุอวัยวะต่างๆ ไว้ในนิตยสาร Times ดังนี้

1. สมอง
Fact:
หลังอายุ 70 ปี จะเริ่มพบความผิดปกติที่เกิดจากความเสื่อมของสมอง ซึ่งมักเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในคราวเดียว
How-to:
(1) นิวโรบิกส์ เอ็กเซอร์ไซส์ (Neurobics Exercise) หรือการทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือทั้ง 2 ข้าง ทำงานประสานกัน เช่น ทำสวน เย็บผ้า ทำกับข้าว ช่วยให้สมองทั้งซีกซ้ายและขวาได้รับการกระตุ้นและทำงานไปพร้อมกัน
(2) กิน ปลาทะเล ถั่วเปลือกแข็ง และธัญพืช แหล่งสุดยอดสารอาหารบำรุงเป็นประจำ
(3) ฝึกเจริญสติก่อนนอน ใช้วิธีกำหนดรู้ลมหายใจเข้าและออก จนกว่าจะหลับ ช่วยลดความเครียดและทำให้สมองปลอดโปร่งในวันรุ่งขึ้น

2. ดวงตา
Fact:
หลังอายุ 40 ปี ต่อจากนั้น ทุกๆ ปี ดวงตา จอประสาตา เลนส์ตาจะเสื่อมลง ในอัตราที่ไม่สม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับรูปแบบกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
How-to:
(1) สวมแว่นกันแดด ก่อนทำกิจกรรมกลางแจ้งทุกครั้ง (2) ผู้ที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ ควรพักสายทุกๆ 45 นาที อย่างน้อย 5-10 นาที
(3)งดใช้โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตก่อนนอน

3. หู
Fact:
หลังอายุ 60 ปี การได้ยินจะค่อยๆ ลดลงทุกปี และทุกๆ 1 ใน 3 คนมีปัญหาเรื่องการได้ยินเมื่อเข้าสู่วัยนี้
How-to:
(1) หลีกเลี่ยงการทำงานหรืออาศัยอยู่ในที่ๆ มีเสียงดัง หากจำเป็นต้องใส่เครื่องป้องกัน
(2) งดสั่งน้ำมูกแรงๆ หรือ กลั้นจาม เพราะอาจทำให้เยื่อแก้วหูมีปัญหา
(3) งดแคะหูเอง เพราะขี้หูเป็นขี้ผึ้งรักษาความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ การแคะหูทำให้เกิดการอักเสบและเยื่อแก้วหูฉีกขาดได้

4. ปอด
Fact:
หลังอายุ 30 ปี ต่อจากนั้น ทุกๆ ปี ประสิทธิภาพการทำงานของปอดจะลดลงราวร้อยละ 1
How-to:
(1) ว่ายน้ำ หรือ วิ่ง อย่างน้อยวันละ 45 นาที – 1 ชั่วโมง
(2) ใช้สมุนไพรไทยปรับธาตุ จิบยาตรีผลา ก่อนอาหารเช้า-เย็น ครั้งละ 1 แก้ว มีสรรพคุณช่วยปรับธาตุ บำรุงปอด แก้ไอ ลดเสมหะได้
(3) หลีกเลี่ยง ควันธูป ควันจากการประกอบอาหาร ฝุ่นขนาดเล็ก และสารเคมีที่มีไอระเหยต่างๆ

5. หัวใจ
Fact:
หลังอายุ 65 ปี จะเริ่มมีโอกาสเป็นโรคหัวใจ เนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจที่ลดลงสวนทางกับอัตราการหนาตัวของผนังหัวใจที่เพิ่มขึ้นเมื่ออายุ 20-30 ปี เฉลี่ยทุกๆ 10 ปี อัตราการสูบฉีดโลหิตสูงสุดจะลดลงราวร้อยละ 10
How-to:
(1) งดอาหารหวาน มัน เค็ม รักษาความดันโลหิตและน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ (2) ว่ายน้ำ เดิน วิ่ง โยคะ ร่วมถึงการยกน้ำหนัก ช่วยให้หัวใจทำงานต่อเนื่อง กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง
(3) ปลูกต้นไม้ ไปทำกิจกรรมในสวนสาธารณะ หรือมีสัตว์เลี้ยง ผู้ที่มีงานอดิเรกเหล่านี้ มีความเสี่ยงโรคหัวใจน้อยกว่าคนทั่วไป

6. ไต
Fact:
หลังอายุ 50 ปี ไตจะเริ่มเสื่อมลงทีละน้อยๆ จนคุณแทบไม่รู้สึก
How-to:
(1) ดื่มน้ำให้เพียงพอ สถาบันการแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (Institute of Medicine : IOM) ระบุว่า ผู้ชายอายุ 19 ปีขึ้นไป ต้องดื่มน้ำถึง 13 แก้วต่อวัน ขณะที่ผู้หญิงวัยเดียวกันต้องการน้ำวันละ 9 แก้ว
(2) งดปรุงแต่งรสอาหารโดยไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็น น้ำตาล เกลือ หรือซอสต่างๆ
(3) ควบคุมน้ำหนักตัว และความดันโลหิตไม่ให้เกินเกณฑ์มาตรฐาน

7. สำไส้
Fact:
หลังอายุ 60 ปี ปุ่มเล็กๆ ที่ทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหารในลำไส้เล็กจะบางลง ร่างกายจึงดูดซึมสารอาหารได้น้อยลงตามไปด้วย
How-to:
(1) ย่อยง่าย กินปลา ถั่ว เห็ด รวมถึงผักผลไม้ให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงอาหารทอด (2) กินโยเกิร์ต 1 ถ้วยทุกวัน เสริมโปรไบโอติก เพิ่มปริมาณแบคทีเรียดีในลำไส้
(3) ฝึกโยคะ 4 ท่า ช่วยระบบย่อยทุกเช้าหลังตื่นนอน ดังนี้ ท่าแมว ท่าสุนัข ท่าสามเหลี่ยม ท่าสะพาน และปิดท้ายด้วยท่าศพ ครั้งละ 3-5 ลมหายใจ แต่ละท่าทำ 5 ครั้ง นับเป็น 1 เซ็ต

8. ผิวหนัง
Fact:
หลังอายุ 18 ปี ต่อจากนั้น ทุกๆ ปี คอลลาเจนและอิลาสตินในผิวหนังจะลดลงประมาณร้อยละ 1
How-to:
(1) ทาครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของไทเทเนียมหรือสังกะสีเป็นประจำ
(2) กินถั่วเปลือกแข็ง ผลไม้ตระกูลส้มและเบอร์รี่ เป็นประจำ
(3) มาร์คหน้าด้วยโยเกิร์ตผสมข้าวโอ๊ต หรือ ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ เพื่อฟื้นฟูผิวหลังออกแดดเสมอ

9. กระดูก
Fact:
หลังอายุ 35 ปี ต่อจากนั้นทุกๆ ปีความหนาแน่นของมวลกระดูกจะลดลงราวร้อยละ 1 และจะมีอัตราลดลงเร็วขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน (ในเพศหญิง)
How-to:
(1) ยกน้ำหนัก หรือ กระโดดขึ้น-ลง 20 ครั้ง วันละ 2 เซ็ต
(2) เพิ่มเมนูไทยๆ เปี่ยมแคลเซียม เช่น น้ำพริกกะปิปลาทูทอดกับผักสด อย่างน้อย 3-4 มื้อต่อสัปดาห์
(3) ระวังการใช้ยาสเตียรอยด์และยาลูกกลอนที่มีผลทำให้กระดูกพรุน

10. กล้ามเนื้อ
Fact:
หลังอายุ 40 ปี ต่อจากนั้นทุกๆ ปี มวลกล้ามเนื้อจะลดลงและเปลี่ยนเป็นไขมัน อัตรานั้นไม่สม่ำเสมอขึ้นอยู่กับรูปแบบกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
How-to:
(1) วิดพื้น สวอท และยกน้ำหนักแต่ละท่าทำ 15 -20 ครั้ง นับเป็น 1เซ็ต ทำทุกวันอย่างน้อยครั้งละ 2 เซ็ต

สุดท้าย การกินอาหารที่มีสารแอนติออกซิแดนท์สูง เช่น ผักหลากสี ผลไม้รสเปรี้ยว รสฝาดขม ช่วย
ชะลอกระบวนการเสื่อมของเซลล์ตามปกติได้ อย่าลืมเสริมด้วย การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทำสมาธิ และหาโอกาสออกไปพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ เพื่อลดความเครียด (ตัวการเร่งให้เกิดกระบวนการเสื่อมของเซลล์) เท่านี้ก็ช่วยยืดอายุให้อวัยวะต่างๆ ได้เช่นกัน

ที่มา: ขอขอบคุณ
รศ. ดร. ภญ. อรพรรณ มาตังคสมบัติ
อดีต คณบดี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

Saturday, October 22, 2016

17 ผลเสียของการนอนดึก

การนอนดึกไม่ว่าใครต่อใครก็คงรู้นะครับว่ามันไม่ดี เพราะการพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอน หากเรานอนดึกหรือนอนไม่พอ แน่นอนว่ามันต้องไม่ดีต่อร่างกายแน่ๆ แต่จะส่งผลเสียด้านไหนบ้างไหนบ้างนั้นลองไปดูกันครับ

1. อารมณ์ไม่ดี อารมณ์แปรปรวน

จากผลการวิจัย เผยว่า คนที่มีค่าเฉลี่ยการนอนหลับเพียง 4.5 ชั่วโมงต่อคืน เป็นเวลาต่อเนื่อง 1 สัปดาห์นั้น มีแนวโน้มจะเป็นคนที่มีอารมณ์แปรปรวน มากกว่าคนที่มีเวลานอนประมาณ 7 ชั่วโมงต่อคืน ทั้งนี้สภาพอารมณ์แปรปรวนที่เกิดขึ้น เหล่านั้นจะหมายความรวมถึงอารมณ์ และความรู้สึกเครียด เศร้า โมโห หงุดหงิด ท้อแท้ ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเรื่องปกติที่คนธรรมดาทุกคน อย่างเราต้องเผชิญอยู่ทุกวี่วัน ก็มีแน้วโน้มว่า คนนอนน้อย นอนไม่พอ จะควบคุมอารมณ์ได้น้อยความคนที่นอนอย่างเพียงพอนั่นเอง

2. สมองไม่รับรู้ เรียนรู้อะไรได้ช้าลง

การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ สามารถส่งผลให้สมองของเรา มีการรับรู้และเรียนรู้ช้าลงได้จริง จากผลสำรวจในโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่ง ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้มีการทดลองเลื่อนเวลาเข้าเรียนจาก 7.30 น. เป็น 8.30 น. พบว่า ผลคะแนนของวิชาเลข และวิชาการอ่านของนักเรียนเพิ่มสูงขึ้นประมาณร้อยละ 2 และร้อยละ 1 ตามลำดับ และนี่จึงเป็นการอธิบายได้ว่า ถ้าเราเพิ่มระยะเวลาในการนอนหลับ ก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ในการเรียนรู้และจดจำของสมองให้มากขึ้นได้

3. มีอาการปวดหัวไม่สบาย

อย่างที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินกัน ว่าการนอนน้อย นอนไม่พอนั้น จะทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ จึงเป็นสาเหตุของอาการปวดหัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับคนที่มีโรคประจำตัวเป็นโรคปวดไมเกรนนั้น ยิ่งมีโอกาสที่อาการจะกำเริบมากกว่าคนที่ไม่เป็นด้วย นอกจากนี้ ก็ยังมีคนส่วนใหญ่ที่นอนน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอาการปวดหัวในตอนเช้า ในขณะที่อีกร้อยละ 36-58 มีอาการนอนไม่หลับในช่วงตอนกลางคืน พอตื่นเช้าขึ้นมา ก็มีอาการปวดหัวเล็กน้อย


4. อ้วน น้ำหนักขึ้น

คนที่นอนไม่พอ มีแนวโน้มว่าจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ง่ายกว่าคนที่นอนหลับอย่างเพียงพอ เนื่องจากการที่ร่างกายของเรา หลังจากที่ไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอจะเกิดอาการอยากอาหาร หรือว่าหิวง่ายขึ้น หลังจากนั้นสมองก็จะเริ่มสั่งการให้เรามีความรู้สึกอยากกินอาหารแคลอรี่สูง และนี่เองคือสาเหตุสำคัญของการที่น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น คนที่ไม่อยากอ้วน ต้องนอนให้เต็มอิ่มจะได้ไม่เกิดปัญหาที่ว่านี้


5. โรคหัวใจ

จากการทดลองในกลุ่มอาสาสมัคร ที่ไม่มีการนอนพักผ่อนเลยเป็นเวลา 88 ชั่วโมง ผลที่ได้ก็คือ พวกเขาเหล่านั้นมีระดับความดันเลือดที่สูงมาก ในขณะเดียวกันเมื่อเปลี่ยนมาให้กลุ่มอาสาสมัครได้นอนเป็นเวลานาน 4 ชั่วโมงใน 1 คืน ผลปรากฎว่า อัตราการเต้นของหัวใจกลับอยู่ในระดับซึ่งมีความใกล้เคียงกับคนที่นอนเป็นระยะเวลานานปกติ และอีกหนึ่งสิ่งที่ส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจก็คือ สารโปรตีน ที่มาสะสมตัวมากขึ้นในช่วงที่เราตื่น และจะถูกขับออกจากร่างกายโดยธรรมชาติเมื่อเราหลับ เพราะฉะนั้นเวลาที่นอนไม่พอ หรือนอนน้อยติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จึงมีความเสี่ยง ที่จะเป็นโรคหัวใจได้

6. ระบบภูมิคุ้มกันต่ำลง

เมื่อเรานอนน้อยจะทำให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกาย ทำงานอย่างไม่มีทำให้การฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ที่สึกหรอผิดแปลกไปจากปกติ ผลที่เกิดขึ้นคือ แผลหายช้า รวมถึงร่างกายจะติดเชื้อง่ายขึ้น

7. รู้สึกช้า เฉื่อยชา

สำหรับการพิสูจน์ข้อสันนิษฐานนี้นักวิจัย ได้ทำการแบ่งกลุ่มอาสาสมัครออกเป็นสองกลุ่มด้วยกัน โดยจัดให้กลุ่มหนึ่งห้ามนอน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งได้นอนตามปกติ จากนั้นให้อาสาสมัครทั้งสองกลุ่มทำแบบทดสอบทั้งหมด 2 ครั้ง ผลที่ได้ปรากฏว่า กลุ่มอาสาสมัครฝั่งที่ได้นอนพักผ่อน อย่างเพียงพอนั้นมีการตอบโต้ และทำการตัดสินใจได้รวดเร็วมากกว่ากลุ่มคนที่ไม่ได้นอนหลับพักผ่อน ด้วยเหตุนี้จึงสามารถสรุปได้ว่า การนอนไม่เพียงพอ จะส่งผลให้ร่างกายมีการตอบสนองได้ช้าลง และทำให้มีอาการเฉื่อยชา


8. สายตาพร่ามัวหนังตากระตุก

นอนน้อยทำให้การมองเห็นมีประสิทธิภาพแย่ลง การนอนไม่พอมีผลทำให้สายตาของเราพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด ที่เข้าใจว่าหลายคนน่าจะเคยมีอาการแบบนี้กันบ้าง และถ้าหากนอนไม่พอติดต่อกันไปเรื่อยๆ เป็นระยะเวลาหลายคืน ก็อาจมีอาการเห็นภาพหลอนร่วมด้วย มีคนที่นอนน้อยก็อาจจะเกิดอาการกล้ามเนื้อตากระตุก หรือตาเขม่น หรือที่หลายคนชอบพูดว่าหนังตากระตุก ที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่า หนังตากระตุกขวาร้าย ซ้ายดี ทั้งที่ความจริงแล้ว อาการกล้ามเนื้อตากระตุก หนังตาเขม่น มองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าเป็นภาพซ้อน เบลอ มองไม่ชัด ก็มาจากที่เซลล์กล้ามเนื้อบริเวณดวงตาที่ไม่ได้รับการซ่อมแซมตัวเองอย่างสมบูรณ์เพราะนอนน้อยนั่นเอง


9. ปัสสาวะบ่อย

ผู้ใหญ่ที่มีอาการฉี่รดที่นอน และชอบตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำในช่วงตอนกลางคืนบ่อยๆ ก็เป็นสัญญาณเตือนอย่างหนึ่ง ว่าร่างกายของเรากำลังได้รับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ เนื่องจากระบบขับปัสสาวะภายในร่างกายของเราจะทำงานตามนาฬิกาชีวิตเหมือนทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส่วนของกล้ามเนื้อหูรูดในท่อปัสสาวะจะไม่ทำงานในตอนกลางคืน อีกทั้งมีนยังมีความแข็งแรงมากพอที่จะกลั้นปัสสาวะของเรา ไม่ให้เกิดอาการฉี่รดที่นอนในขณะที่เราหลับ เมื่อคนเรานอนไม่พอติดต่อกันเป็นประจำนั้น ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้กล้ามเนื้อหูรูดในท่อปัสสาวะอ่อนแอลงได้  จนกลายเป็นปัญหาฉี่รดที่นอนในผู้ใหญ่

10. ทำให้การตัดสินใจผิดพลาด

เพราะอะไร คืนก่อนวันสำคัญ ควรเข้านอนแต่เช้า? ถ้าเป็นสาวๆ ก็น่าจะห่วงในเรื่องของความสวยความงาม นอนไม่พอหน้าโทรม ดูไม่สดชื่น ซึ่งในความเป้นจริงมีเหตุผลมากกว่านั้นซ่อนอยู่ คือ การนอนไม่พอนั้น จะส่งผลทำให้สมองประมวลความคิดช้าลง และก่อให้เกิดการตัดสินใจผิดพลาดได้


11. ไม่มีสมาธิ

ความอ่อนเพลีย จากการนอนน้อย ทำให้สมาธิแย่ลง ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น ทั้งการทำงาน เล่นกีฬา การเรียน หรือแม้กระทั่งการขับ เนื่องจากสมองไม่มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ร่างกายอยู่ภาวะมึนงงไม่สามารถตั้งใจจดจ่อกับอะไรได้


12. พูดจาไม่รู้เรื่อง

จากการทดลองในเรื่องนี้ ในกลุ่มอาสาสมัครที่ไม่นอนเลยเป็นเวลา 36 ชั่วโมงนั้น ผลปรากฏว่า อาสาสมัครกลุ่มดังกล่าวมีแนวโน้มเป็นคนพูดจาไม่รู้เรื่อง พูดติดขัด และพูดได้ช้าลง ที่สำคัญก็คือ พวกเขาไม่สามารถพูดในสิ่งที่คิดออกมาได้ เพราะสมองประมวลความคิดต่างๆ ช้าลงนั่นเอง


13. เจ็บป่วยง่าย

นอนน้อย นอนไม่พอทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำลง จากผลการวิจัยส่วนใหญ่ เผยว่า คนที่นอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมง มีโอกาสป่วยได้มากกว่าคนที่นอนเกิน 8 ชั่วโมงถึงสามเท่า และคนที่ใช้เวลานานกว่าจะนอนหลับนั้น ก็มีโอกาสป่วยง่ายกว่าคนที่หัวถึงหมอนแล้วหลับเลยถึง 5.5 เท่าเลยทีเดียว

14.  มีความเสี่ยงที่จะประสบอุบัติเหตุ

คิดว่าเป็นอาการที่หลายคนเคยเจอมากับตัวเองอยู่แล้ว สำหรับการนั่งหลับ รู้สึกง่วง ถ้าเป็นที่ทำงานในบริษัทก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นอาชีพที่ต้องใช้สมาธิอยู่ตลอดเวลา อย่างการขับยานพาหนะ คนเหล่านี้จะให้ความสำคัญกับการนอนมากเป็นพิเศษ เช่น นักบิน คนขับรถ คนขับรถบรรทุกส่งของ เป็นต้น สาเหตุเป็นเพราะการนอนไม่พอสามารถทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่า อย่างที่เห็นกันในหัวข้อข่าวเป็นประจำ ปัญหาส่วนหนึ่งที่ว่านี้ เกิดจากจากความเหนื่อยล้าของร่างกาย เมื่อเผลอหลับในเพียงระยะเวลาเพียงเสี้ยววินาที ก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้แล้ว


15. สมรรถภาพทางเพศเสื่อมลง

ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าการนอนหลับมีผลต่อเรื่องสมรรถภาพทางเพศด้วย ว่ากันว่าการนอนหลับไม่ไม่เพียงพอ จะมีผลต่อกระบวนการสร้างฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนให้ต่ำลงได้ ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการทางเพศลดต่ำลง ซึ่งภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศนั้น จะพบเห็นได้มากในผู้ป่วยที่เป็นโรคนอนไม่หลับ

16. ขี้หลงขี้ลืม

ผลการวิจัยในปี 1924 เปิดเผยว่า ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมนอนน้อย เมื่อเทียบกับคนปกติ และส่งผลให้เกิดการสะสมตัวของโปรตีนแอมีลอยด์ บีตา (Amyloid beta) ในเซลล์ประสาทมีความหนาขึ้นเป็นชั้น ทำให้สมองเสื่อม นอกจากนี้ยังส่งผลต่อโครงสร้างของรูปสมองให้เปลี่ยนไป และนี่จึงเป็นสาเหตุที่สมองจดจำอะไรไม่ได้นาน


17. อายุสั้นลง

การที่อายุขัยของเราสั้นลงนั้น เป็นปัญหาโดยรวมที่เกิดขึ้นเมื่อเรานอนพักผ่อนไม่เพียงพอ จากหลายๆ โรคที่เกิดขึ่นอย่างที่เราได้กล่าวกันไปแล้วเมื่อข้างต้น เมื่อผลกระทบเหล่านั้นถูกสะสมมาเป็นระยะเวลานาน ร่างกานของเราก็อ่อนแอลง ซึ่งทำให้ชีวิตของเราสั้นลงตามมาด้วย จากผลการวิจัยเผยว่า การนอนในตอนกลางคืนโดยเฉลี่ย 7-8 ชั่วโมงนั้นเป็นช่วงเวลาที่กำลังดีและเหมาะสมที่สุด ซึ่งจะสามารถยืดอายุขัยของเราให้นานขึ้นได้ด้วย

รู้อย่างงี้แล้วใครที่ยังติดนอนดึกอยู่ก็ลองนอนให้มันเร็วขึ้นกันนะครับ ด้วยความปรารถนาดีจากพี่แฮนด์^^

ที่มา http://www.lady108.com/

Cr. https://blog.eduzones.com/rangsit/142709

Saturday, August 27, 2016

17 สิ่งควรทำก่อนนอน และตื่นนอน แล้วชีวิตจะแฮปปี้ขึ้น !

        ช่วงเวลาก่อนเข้านอน และหลังตื่นนอน เป็นช่วงเวลาที่เราได้อยู่กับตัวเอง เราก็ควรตักตวงความสุขจากช่วงเวลาเหล่านี้ มาเช็กกันว่า มีพฤติกรรมก่อนนอน และหลังตื่นนอนอะไรบ้าง ที่แค่สละเวลาเพียง 5 นาที ก็ทำให้แฮปปี้ได้ตลอดทั้งวัน

          การนอนหลับสนิทตลอดคืน ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกสดชื่น … เชื่อว่ากิจวัตรประจำวันของใครหลายคนอาจไม่เป็นแบบนี้ บางคนทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งคืน บางคนมีเรื่องให้คิดจนนอนไม่หลับ หากชีวิตเป็นแบบนี้แค่วันสองวันคงไม่กระทบต่อสุขภาพกายใจเท่าไร­­นัก แต่ถ้าเป็นแบบนี้ทุกวันเราอาจมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลงได้ กระปุกดอทคอมจึงอยากแนะนำ 17 เคล็ดลับดี ๆ เปลี่ยนชีวิตให้แฮปปี้ขึ้น เพียงแค่ปรับพฤติกรรมการนอน และการตื่นนอนนิดหน่อยเท่านั้น มาอ่านกันเลย

8 สิ่งที่ควรทำก่อนนอน

         การนอนหลับสนิทในตอนกลางคืนเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะส่งผลต่อสุขภาพกายและใจของเราด้วย ลองมาดู 8 สิ่งที่ควรทำก่อนนอน เพื่อชัตดาวน์ร่างกาย ให้ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่จริง ๆ

1. กินให้ง่วง

          ความหิวเป็นศัตรูของความง่วง หากปล่อยให้ตัวเองหิว คงหลับไม่ลงแน่ ๆ ซึ่งวิธีกินให้ง่วงแบบไม่อ้วน ได้สุขภาพนั้นง่ายมาก นั่นคือ การเลือกกินอาหารที่มีสารสื่อประสาทกรดอะมิโนทริปโตเฟน และสารเซโรโทนิน เช่น เนยแข็งสด (Cottage cheese) กล้วย เชอร์รี และกีวี

2. ปิดไฟให้หมดทุกดวง

เราอยู่กับแสงสว่างมาเกือบตลอดทั้งวันแล้ว ก่อนเข้านอนก็ควรจะอยู่ในบรรยากาศที่มืด มีแสงน้อยบ้าง เพื่อส่งสัญญาณให้ระบบนาฬิกาชีวิตในร่างกายรู้ว่า เราจะพักผ่อนแล้ว โดยการนอนปิดไฟ งดเล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นนอนเล่น สมาร์ทโฟน อ่านหนังสือจากแท็บเล็ต หรือแม้แต่นอนปิดไฟดูทีวี เป็นต้น

3. ปิดรับข่าวสารจากโลกดิจิตอล

          หากอยากนอนแบบเต็มอิ่มตลอดทั้งคืน ก่อนเข้านอนประมาณ 1-2 ชั่วโมง ควรปิดรับการสื่อสารจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด โดยเฉพาะสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และไอแพด ด้วยการปรับโหมดการรับข้อความเป็น Airplane Mode แจ้งเตือนแบบสั่น หรือ ปิดเครื่องไปเลย วิธีนี้จะช่วยให้คลื่นสมองไม่ถูกรบกวนจากเสียงแจ้งเตือน เราก็จะนอนหลับได้ดีขึ้น โดยไม่ต้องสะดุ้งตื่นกลางคันเพราะเสียงรบกวน

  4. บริหารกายเล็กน้อย

          การยืดเส้นยืดสายก่อนเข้านอน ช่วยให้เรานอนหลับได้ดีขึ้น หากใครที่เป็นคนหลับยาก ยิ่งต้องลองทำดู การขยับร่างกายนิด ๆ หน่อย ๆ ก่อนนอน เช่น ทำโยคะ ซิทอัพ กระโดดเชือก เล่นฮูลาฮูป ในเวลาประมาณ 10-15 นาที ถือเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ป้องกันการเกิดเป็นตะคริวและเส้นเอ็นหดเกร็งในขณะที่เราหลับ

5. ทำสมาธิ

          เราใช้งานสมองมาตลอดทั้งวันแล้ว ก็ควรให้สมองได้พักผ่อนบ้าง ด้วยการทำสมาธิก่อนนอน แค่ลองนั่งหลับตา โดยไม่ต้องคิดอะไรนานประมาณ 10-15 นาที สมาธิจะช่วยลดทอนความรู้สึกด้านลบต่าง ๆ ที่อยู่ในใจเรา เช่น คิดมาก วิตกกังวล โกรธ เศร้าซึม เมื่อสมองไม่มีเรื่องต้องคิด ก็จะหลับง่ายขึ้น

6. เขียนบันทึก

          การเขียนบันทึกเล็ก ๆ น้อย ๆ ถึงเรื่องราวที่เราประทับใจเพียงเรื่องเดียว ก็ช่วยผ่อนคลายจิตใจได้ ทำให้เราเข้านอนได้อย่างสบายใจ ไม่มีเรื่องราวให้รกหัว เพราะการเขียนบันทึก็เหมือนเป็นการระบายความรู้สึกอย่างหนึ่ง แนะนำว่า อย่าเขียนเยอะเกินไป เพราะจะดูเป็นคนไร้สาระ ควรเขียนให้พอดี ๆ แค่ประมาณ 1-3 บรรทัดก็พอแล้ว

7. นอนอย่างสบายที่สุด

          การนอนที่ทำให้สุขภาพดีนั้น การนอนต้องมีคุณภาพด้วย หากใครที่แต่ละคืนนอนไม่ค่อยหลับเลย ลองเช็กดูว่า เรานอนด้วยความสบายที่สุดหรือไม่ เช่น สวมชุดนอนที่สบาย ไม่รัดตัว ผ้าปูที่นอน หมอน ผ้าห่ม และหมอนข้างมีความนุ่ม ที่สำคัญคือต้องสะอาด ไม่มีฝุ่น ไม่มีสิ่งของวางเกะกะบนเตียงนอน รวมถึงบรรยากาศในห้องนอนที่ควรไม่มีแมลง หรือยุงคอยรบกวน

8. ฟังเพลงอะคูสติก (Acoustic)

          การฟังเพลงทำนองสบาย ๆ รื่นหู ก็ช่วยให้เรานอนหลับฝันดี จากผลการวิจัยของประเทศจีนในปี 2012 เผยว่า การฟังเพลงประเภท Pink Nose หรือ เพลงที่มีคลื่นความถี่ต่ำ ซึ่งเพลงที่มีคลื่นความถี่ต่ำนั้นส่งผลดีต่อสมอง ช่วยเพิ่มการเรียนรู้และจดจำ อีกทั้งท่วงทำนองที่สบาย ๆ ฟังง่าย ทำให้สมองหลั่งสารเคมีแห่งความสุขออกมา เมื่อในสมองไม่มีเรื่องต้องคิด เราก็จะหลับง่ายขึ้น

9 สิ่งควรทำเมื่อตื่นนอน

          กิจวัตรประจำวันหลังตื่นนอน ก็มีผลกระทบต่อคุณภาพการทำงานตลอดทั้งวันของเรา หากอยากเป็นคนที่มีคุณภาพ ลองทำตาม 9 เทคนิคเพิ่มความพร้อมให้ร่างกายจากเราดู

1. ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว

          เมื่อเราตื่นนอนแล้ว อย่าเพิ่งเดินเข้าครัวชงกาแฟรสชาติเข้ม ๆ ดื่ม หรือกินอาหารเช้าแสนอร่อยในทันที ควรดื่มน้ำเปล่าให้ได้ 1 แก้วก่อนเป็นอันดับแรก และควรเป็นน้ำอุ่น หรือ น้ำที่อุณหภูมิห้อง น้ำเปล่าจะช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย ลดอาการงัวเงียได้

2. ฟิตร่างกายใน 5 นาที

          หลังตื่นนอนแล้ว ลองสละเวลาสัก 5 นาที วอร์มอัพร่างกายให้ตื่นตัว พร้อมใช้งาน อาจเริ่มจากบิดขี้เกียจ ยืดแขน ยืดขา สะบัดมือและเท้า จากนั้นก็สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ

3. เช็กตารางงานตัวเอง

          ความพร้อมขั้นต่อไปที่ควรทำหลังตื่นนอนคือ เช็กอีเมล เปิดปฏิทิน หรือ เปิดดูตารางนัดหมาย เพื่อเตือนความจำว่า วันนี้ต้องทำอะไรบ้าง เราจะได้เตรียมตัวสำหรับสิ่งสำคัญนั้น ๆ

4. เขียนสิ่งที่ตั้งใจทำ

          การจดบันทึกสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรละเลย เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น เราจะทำงานอย่างมีเป้าหมายมากขึ้น จัดการไปตามลำดับได้อย่างมีทิศทาง ข้อดีของการจดบันทึกคือ ช่วยเตือนความจำได้ว่าเราไม่หลงลืมทำสิ่งสำคัญ

5. คิดถึงคนรัก

          ว่ากันว่า คนแรกที่เราคิดถึงหลังตื่นนอนตอนเช้านั้น เป็นคนสำคัญ ดูท่าจะจริง เพราะการคิดถึงคนที่เรารักในตอนเช้ามักทำให้เรามีความสุข รู้สึกกระชุ่มกระชวยหัวใจ ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว อาการเหล่านี้ล้วนเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานได้ดี

6. เข้าหาธรรมชาติ

          หลังตื่นนอนแล้ว อย่าเพิ่งเปิดรับข่าวสารใด ๆ แต่ขอให้เข้าหาธรรมชาติ ปรับอารมณ์ของเราให้ดีขึ้นก่อน โดยการออกไปสูดอากาศยามเช้า ชื่นชมความงามของดอกไม้ และต้นไม้ใบหญ้า การได้มองสีเขียวจากธรรมชาติจะช่วยเพิ่มความสบายใจ มีอารมณ์ดี เบิกบานตลอดวัน

7. กอด

          มีหลายงานวิจัยที่มีความเห็นตรงกันว่า การกอด เป็นวิธีการเพิ่มความสุขที่ง่ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการกอดคนรัก คนในครอบครัว เพื่อน หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงในบ้าน เมื่อกอดแล้วจะรับรู้ได้ว่า สมองเราปลอดโปร่ง คิดแต่สิ่งที่ดี ๆ มากขึ้น

8. ยิ้มให้ตัวเอง

          การยิ้มให้ตัวเองหน้ากระจก เป็นเหมือนภูมิคุ้มกันจิตใจอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น การยิ้มแล้วมองดูตัวเอง ก็ทำให้เรามีความสุข แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เราจะได้คือ ความมั่นใจในตัวเอง ลองฝึกยิ้ม แล้วพูดถึงแต่สิ่งดี ๆ กับตัวเอง จะทำให้เรามีพลังใจในการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างประหลาด ใครไม่เชื่อ เราขอแนะนำให้ลองทำดู

9. ฟังเพลงที่อยากฟัง

          ทันทีที่เราลืมตาตื่นขึ้นมา สมองของเรายังไม่ทันประมวลเรื่องราวอะไรมากนัก ช่วงเวลานี้แหละที่เราควรเติมเรื่องดี ๆ ให้สมองได้จดจำ ด้วยการเปิดเพลงที่อยากฟัง จะช่วยให้เรารู้สึกเบิกบาน แจ่มใสไปตลอดทั้งวัน

          ความสุขในชีวิตของเรานั้น แท้จริงแล้วไม่ต้องไขว่คว้าอะไรให้ยุ่งยากเลย แค่ลองปรับกิจวัตรประจำวันก่อนนอน และหลังตื่นนอนของตัวเองเท่านั้น ก็ทำให้ความสุขก็อยู่กับเรานานขึ้นแล้ว

Credit: kapook.com