Sunday, July 5, 2015

น้ำผึ้งกับอบเชย ดี้ดี

อย่างนี้เรียกว่า มีหลักฐานชัด
รับประทานน้ำผึ้งผสมอบเชย
(Honey and Cinnamon)
ดี 18 ประการ

          น้ำผึ้งเป็นอาหารเพียงชนิดเดียวในโลกนี้ที่ไม่เสีย
หรือบูดเน่า จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล แท้จริงแล้วน้ำผึ้งแท้ก็
คือน้ำผึ้งแท้อยู่วันยังค่ำ อย่างไรก็ตามถ้าปล่อยทิ้งไว้ใน
ที่มืดนานๆ มันจะตกผลึก ถ้าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ให้นำขวดน้ำผึ้งแช่ในน้ำร้อน ปล่อยให้ค่อยๆ เย็นลง
จนกลายเป็นของเหลว มันก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม อย่านำเข้าตู้ไมโครเวฟเด็ดขาด เพราะจะทำลาย
เอ็นไซม์ในน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งกับอบเชย
          กล้ากล่าวได้ว่าบริษัทยาทั้งหลายไม่ชอบใจแน่ๆ การค้นพบข้อเท็จจริงของส่วนผสมน้ำผึ้งกับอบเชย
สามารถรักษาโรคได้เป็นส่วนมาก
          น้ำผึ้งสามารถผลิตได้ทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์
ในปัจจุบันยังยอมรับว่าเป็น “Ram Ban” (มีประสิทธิผลมาก) ในการรักษาโรคนานาชนิด น้ำผึ้งสามารถใช้ได้โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
          ปัจจุบันวิทยาศาสตร์กล่าวว่าแม้น้ำผึ้งจะมีรสหวาน ถ้ารับประทานในปริมาณที่เหมาะสมก็จะเป็นยาชนิดหนึ่ง ไม่เป็นอันตรายแก่ผู้ป่วยเบาหวาน ึ
          หนังสือ World Weekly News ของแคนาดา
ประจำวันที่ 17 มกราคม 1995 ได้บอกถึงสรรพคุณของ
น้ำผึ้งกับอบเชยว่ารักษาโรคใดได้บ้าง ซึ่งเป็นผลการวิจัย
ของนักวิทยาศาสตร์ชาติตะวันตกดังนี้ :-

01. โรคหัวใจ (Heart Diseases)   
       นำน้ำผึ้งผสมกับผงอบเชยแล้วป้ายขนมปัง
แทนเยลลี่และแยม ทานเป็นประจำเป็นอาหารเช้า
จะช่วยลดคอเรสเตอรอลในเส้นเลือดและช่วยลดอาการ
หัวใจวาย สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ถ้ารับประทานตามที่แนะนำมานี้เป็นประจำ ก็จะทำให้อาการเจ็บกล้ามเนื้อหัวใจทุเลา
ถ้าคนปกติรับประทานเป็นประจำดังกล่าวมา
ก็จะทำให้ระบบหายใจดีขึ้น การเต้นหัวใจแข็งแรงขึ้น ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา สถานดูแลผู้ป่วยหลายแห่งใช้วิธีนี้บำบัดคนไข้ได้ผลดี และค้นพบต่อไปอีกว่า เมื่อคนเราอายุมากขึ้น เส้นโลหิตแดงและโลหิตดำขาดความยืดหยุ่น
และอุดตันได้ง่าย น้ำผึ้งกับอบเชยสามารถฟื้นฟูเส้นโลหิตทั้งสองชนิดได้

02. โรคปวดข้อปวดกระดูก (Arthritis)   
       ผู้ป่วยโรคปวดข้อปวดกระดูกอาจจะรับประทาน
เป็นประจำ โดยชงน้ำผึ้ง 2 ช้อน กับผงอบเชย 1 ช้อนชา
ในน้ำร้อนขนาดถ้วยกาแฟทุกเช้าและเย็น ก็จะทำให้อาการปวดทรมานหายได้
จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยโคเปนฮาเกน พบว่าหมอให้คนไข้รับประทานน้ำผึ้งขนาด 2 ช้อนโต๊ะ
กับผงอบเชยขนาด ครึ่งช้อนชา ก่อนอาหารเช้า พบว่าในเวลา 1 สัปดาห์ คนไข้จำนวน 73 คน
จากจำนวนทั้งหมด 200 คน ที่เข้าร่วมโครงการทดลอง
มีอาการปวดลดลง เมื่อทดลองต่อไปจนครบ 1 เดือน
ปรากฏว่าคนไข้ส่วนใหญ่ที่เดินไม่ได้สามารถเดินได้
เองโดยไม่มีอาการปวดแต่อย่างใด

03. โรคกระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ (Bladder Infections)
       ให้ใช้ผงอบเชย 2 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
ชงในน้ำอุ่น 1 แก้วแล้วดื่ม มันจะไปฆ่าเชื้อในกระเพาะ
ปัสสาวะ

04. คลอเลสเตอรอล (Cholesterol)
       ชงน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ กับผงอบเชย 3 ช้อนชา
ในน้ำชา ขนาด 16 ออนซ์ ให้คนไข้ที่มีระดับคลอเลส
เตอรอลสูงดื่ม ปรากฏว่าภายในเวลา 2 ชั่วโมง ระดับคลอเลสเตอ รอลลดลง 10 เปอร์เซ็นต์
ดังที่ได้กล่าวถึงคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคปวดข้อ ถ้าให้คนไข้ดื่มวันละ 3 เวลา คลอเลสเตอรอลจะหายเป็นปกติได้
ตามข้อมูลที่อ่านจากนิตยสารนี้กล่าวว่า การดื่มน้ำผึ้งบริสุทธิ์พร้อมอาหารเป็นประจำทุกวัน
ช่วยลดคลอเลสเตอรอลได้

05. ไข้หวัด (Colds) 
       สำหรับผู้ที่มีอาการทรมานจากไข้หวัดทั่วไป หรือ
ไข้หนัก ควรชงน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับผงอบเชย ¼ ช้อน
ทุกวัน เป็นเวลา 3 วัน ก็จะช่วยลดอาการไอรุนแรงและ
จมูกโล่ง

06. อาการท้องอืด (Upset Stomach)  
       ให้รับประทานน้ำผึ้งผสมผงอบเชยจะช่วยให้
อาการปวดท้องทุเลา และยังช่วยลดอาการแผล
ในกระเพาะอาหารได้ด้วย

07. ลมในกระเพาะ (Gas)
       ผลการศึกษาในอินเดียและญี่ปุ่นพบว่า ถ้ารับประทานน้ำผึ้งกับผงอบเชยจะช่วยลดลมภายใน
กระเพาะอาหารลงได้

08. ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย (Immune System)
       การรับประทานน้ำผึ้งผสมผงอบเชยประจำวัน
จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกายให้เข้มแข็ง ช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นักวิทยาศาสตร์พบว่าในน้ำผึ้งมีวิตามินหลายชนิดและธาตุเหล็กเป็นจำนวนมากการรับประทานน้ำผึ้งประจำ
ยังเพิ่มเม็ดเลือดขาวเพื่อต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและ
ไวรัสได้

09. อาหารไม่ย่อย (Indigestion)
       โรยผงอบเชยลงบนน้ำผึ้งขนาด 2 ช้อนโต๊ะ
ก่อนอาหารจะช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร
และช่วยให้การย่อยอาหารเมื้อหนักได้ดี

10. ไข้หวัดใหญ่ (Influenza)  
       นักวิทยาศาสตร์สเปนได้พิสูจน์น้ำผึ้งประกอบ
ด้วยสารอาหารธรรมชาติที่ทำลายเชื้อไข้หวัดใหญ่
และช่วยให้ผู้ป่วยให้ปลอดภัยจากไข้หวัดใหญ่

11. ยาอายุวัฒน
อาหารที่มีพลังงานสูง (Longevity)
       การดื่มชาที่ผสมน้ำผึ้งกับผงอบเชยเป็นประจำ
ช่วยชะลอความชรา
วิธีการทำคือ ใช้น้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ ผงอบเชย 1 ช้อน น้ำเปล่า 3 ถ้วย แล้วนำไปต้มเหมือนชา ให้ดื่ม ¼ ถ้วยวันละ 3-4 เวลา จะช่วยให้ผิวหนังเปล่งปลั่ง นุ่มมีน้ำมีนวล ช่วยทำให้อายุยืน อาจถึง 100 ปีให้เริ่มต้นตั้งแต่อายุราว 20 ปี

12. แก้สิว (Pimple)
       ผสมน้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ กับผงอบเชย 1 ช้อนชา
ให้เข้ากัน แล้วป้ายบนหัวสิวก่อนนอน แล้วล้างออก
ในวันรุ่งขึ้นด้วยน้ำอุ่น ถ้าปฏิบัติติดต่อกัน 2 สัปดาห์
ก็จะสามารถกำจัดหัวสิวได้

13. ผิวหนังติดเชื้อ (Skin Infections)
       ใช้น้ำผึ้งผสมกับผงอบเชยปริมาณเท่าๆ กัน
ทาบริเวณที่ติดเชื้อ จะช่วยรักษาเรื้อนกวาง (eczema) กลากและโรคผิวหนังชนิดต่างๆ ได้

14. ลดน้ำหนัก (Weight Loss)
       ดื่มน้ำผึ้งผสมผงอบเชยในน้ำร้อน ทุกๆ เช้าก่อน
อาหารครึ่งชั่วโมง ขณะท้องว่างและก่อนนอนทุกคืน ถ้าทำเป็นประจำจะช่วยลดน้ำหนัก แม้คนที่อ้วนมากๆ 
เช่นเดียวกัน ถ้าดื่มเครื่องดื่มที่กล่าวมานี้ จะช่วยไม่ให้
ไขมันสะสมในร่างกาย

15. โรคมะเร็ง (Cancer)   
       ผลการวิจัยในญี่ปุ่นและออสเตรเลียเมื่อไม่นาน
มานี้พบว่า ผู้ที่เป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารและมะเร็ง
กระดูกในขั้นมากๆ แล้วสามารถรักษาได้สำเร็จ 
ผู้ป่วยที่ได้รับความทรมานจากมะเร็งดังกล่าว
ควรดื่มน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมผงอบเชย 1 ช้อนชา
เป็นประจำ 3 เวลา ประมาณ 1 เดือน

16. แก้อาการอ่อนเพลีย (Fatigue)
       ผลการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ แสดงให้เห็นว่าน้ำตาล
ในน้ำผึ้งมีประโยชน์มากในการเพิ่มพลังให้แก่ร่างกาย ในผู้สูงวัยที่รับประทานน้าผึ้งกับผงอบเชยในปริมาณ
เท่าๆ กัน ช่วยให้กระปรี้กระเปร่าและมีร่างกายที่ยืดหยุ่น
       ดร. มิลตัน ที่ศึกษาเรื่องนี้กล่าวว่า การดื่มน้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะ ในแก้วหนึ่งแก้ว โรยด้วยผงอบเชยเป็นประจำ
หลังแปรงฟันและตอนบ่ายราวๆ 15.00 น.เมื่อร่างกาย
เริ่มล้า จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงมีชีวิตชีวาใน 1 สัปดาห์

17. ขจัดลมหายใจมีกลิ่น (Bad Breath)
       ชาวอเมริกาใต้ ตื่นนอนตอนเช้า
สิ่งที่เขาทำอันดับแรกคือ
กลั้วคอด้วยส่วนผสมของน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
กับผงอบเชยในน้ำร้อน เพื่อให้ลมหายใจสดชื่นตลอดวัน

18. สูญเสียการได้ยินกลับคืนมา (Hearing Loss)
       การรับประทานน้ำผึ้ง และผงอบเชยผสมกัน
ในปริมาณเท่าๆ กันเป็นประจำทุกเช้าและก่อนนอน
จะช่วยให้การได้ยินกลับมาเหมือนเดิม จำได้ไหมเมื่อครั้งเป็นเด็ก เรากินขนมปังทาเนยโรยด้วยผงอบเชย
วค.15 กันยายน 2557
อาจารย์นิพนธ์ในรูปอายุ 83 ปีแล้ว
ท่านดื่มเป็นประจำ สุขภาพแข็งแรงมากค่ะ
วิจัยล่าสุดพบว่า ลดความดันได้ด้วย

No comments:

Post a Comment