Wednesday, July 29, 2015

25 สัญญาณอันตรายต่อร่างกายคุณ

เช็คด่วน! 25 สัญญาณเตือน ว่าร่างกายคุณ กำลังมีสารพิษมากเกิน หรือมีอาการผิดปกติของร่างกายจากโรคก่อนที่จะสายไป

ร่างกายเราจะได้รับสารพิษอยู่ทุกวัน จากอากาศและอาหารที่เรากินเข้าไป
และถ้าเราสะสมไว้จนถึงจุดที่สมควรจะต้องดีท็อกซ์แล้วร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนให้เรารู้
หรือร่างกายอาจส่งสัญญานผิดปกติต่างๆให้รู้ด้วยอาการต่อไปนี้

เพราะเรื่องของสุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจใส่ดูแล ไม่ว่าจะเกิดอะไรเล็กๆน้อยๆขึ้นกับร่างกาย โปรดอย่าละเลย คิดว่าแค่นี้ไม่เป็นไร เพราะบางทีเรื่องแค่นี้อาจนำไปสู่เรื่องที่ใหญ่กว่านี้ก็เป็นได้  25 สัญญาณร้ายต่อไปนี้ อาจเป็นตัวช่วยให้คุณสังเกตโรคภัยที่กำลังมาเยือน และไปปรึกษาแพทย์แต่เนิ่นๆ เพราะหลายโรค เช่น มะเร็ง สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากตรวจพบในระยะแรกๆ
      
       1. นอนไม่ค่อยหลับ หากเกิดขึ้นเป็นเวลานานร่วมกับอาการกระสับกระส่าย หัวใจเต้นแรง หรือไปปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อยๆ อาจเป็นอาการเริ่มต้นของไทรอยด์ผิดปกติ เบาหวาน ฯลฯ
      
       2. ปวดหัวบ่อยๆ ควรสังเกตตัวเองว่ามีอาการข้างเคียงอื่นๆ หรือไม่ เช่นหน้ามืดตาลาย อาเจียน อาการปวดศีรษะอาจเป็นสัญญาณเตือนโรคร้ายที่อันตรายถึงชีวิตได้หลายโรค
      
       3. มีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง อาจเป็นโรคตับอักเสบหรือดีซ่าน
      
       4. ท้องเสียบ่อย หรือท้องผูกบ่อย ระบบขับถ่ายแปรปรวน อาจป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้หรือโรคไต หากเกิดอาการท้องผูกเรื้อรัง (นานกว่า 3 สัปดาห์) อาจสร้างความเสี่ยงโรคริดสีดวงทวารหนัก โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรืออาการไตวายได้เช่นเดียวกัน
      
       5. เบื่ออาหาร อาจเป็นสัญญาณของโรคตับ วัณโรค หรือกำลังจะนำไปสู่การเจ็บป่วย เพราะร่างกายอ่อนแอและไม่มีภูมิต้านทาน
      
       6. มีก้อนเกิดขึ้นตามร่างกาย โดยเฉพาะก้อนที่เต้านมหรือก้อนที่ข้างคอ อาจเป็นเนื้องอกชนิดธรรมดา หรือมะเร็งก็ได้
      
       7. ปัสสาวะผิดปกติ ถ้ามีอาการปัสสาวะถี่ผิดปกติ หรือมีมดขึ้น ร่วมกับอาการหิวบ่อย คันตามตัว แผลหายยาก มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน แต่ถ้าปัสสาวะขัดๆ หรือเป็นเลือด อาจเป็นเพราะไตหรือกระเพาะปัสสาวะกำลังมีปัญหา
      
       8. ปัสสาวะเป็นสีเหลืองจัด เป็นไปได้ว่าดื่มน้ำน้อยเกินไป หรืออาจเป็นสัญญาณบอกอาการของโรคดีซ่าน แต่ถ้าสีเหลืองจัดเข้มข้นจนเป็นสีกาแฟ แสดงว่ากินยาบางอย่างมากเกินไป หรืออาจจะเป็นวัณโรค
      
       9. ระคายคอ เจ็บคอหรือไอบ่อยๆ อาจมีปัญหาที่ระบบหายใจ อาจเป็นภูมิแพ้ หรือกำลังเป็นหวัด
      
       10. อาการอ่อนเพลียง่าย ไม่มีกำลังวังชา มือไม้สั่น มีอารมณ์แปรปรวนง่าย อาจเป็นไปได้ว่าต่อมไทรอยด์ผิดปกติ
      
       11.ใต้ตาดำคล้ำ อาจเกิดจากนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือเกิดจากไตกรองของเสียทำงานบกพร่อง
      
       12. เมื่อยตึงที่น่องและข้อพับขา หากไม่ได้เกิดจากการยืนนานๆ หรือเดินมากๆ เป็นไปได้ว่า โรคข้อเข่าเสื่อมมาเยือน
      
       13. มีเลือดออกผิดปกติจากที่ต่างๆ เช่น มีจ้ำเลือดตามผิวหนัง อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นเลือด มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดจากประจำเดือนที่เคยเป็น มีเลือดกำเดาไหล ไอเป็นเลือด เป็นต้น อาจเป็นสัญญาณเตือนโรคมะเร็งในเม็ดเลือดหรือลูคีเมีย ซึ่งมักเกิดกับอาการเหนื่อยง่าย เลือดออกทางผิวหนังง่าย โดยไม่ทราบสาเหตุ
      
       14. ตามืดมัวลงทันที หรือตาเห็นภาพซ้อน อาจเป็นโรคเกี่ยวกับตาหรือสมอง
      
       15. เล็บเปราะบางและผิดปกติ ถ้ามีเล็บสีขาวเกินกว่าครึ่งอาจมีอาการผิดปกติของตับและไต หรือเล็บที่ยกตัวออกมาจนไม่ติดกับผิวหนังใต้เล็บ อาจบ่งบอกว่า กำลังป่วยเป็นโรคปอด
      
       16. ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ไอ เสียงแหบ กลืนลำบาก เจ็บคอ หูอื้อ เจ็บหน้าอก ท้องอืดเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน ตกขาว ฯลฯ เป็นเรื้อรังนานผิดสังเกต โดยไม่ทราบสาเหตุแจ้งชัด
      
       17. มีก้อนไขมันสีขาวหรือเหลืองตรงเปลือกตาแต่ไม่เจ็บ แสดงว่าภายในร่างกายมีไขมันในเลือดสูงมาก จนตับไม่สามารถกำจัดได้หมด ไขมันส่วนเกินจึงปรากฎให้เห็น บางรายอาจมีจุดสีเหลืองเล็กๆ กระจายข้างในเปลือกตาด้วย หากปล่อยทิ้งไว้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคไขมันเกาะตับ หรือภาวะที่มีไตรกลีเซอไรด์สะสมภายในเซลล์ตับ หากมีอาการอักเสบร่วมด้วยอาจนำไปสู่โรคตับแข็ง นอกจากนี้ยังต้องระวังโรคเบาหวานด้วย
      
       18. ขี้ตาแฉะหลังตื่นนอนตอนเช้า สันนิษฐานว่ากำลังร้อนใน ความจริงแล้วอาการร้อนในมีอยู่หลายลักษณะ เช่น ปากเป็นแผล ท้องผูก ถ่ายลำบาก และครั่นเนื้อครั่นตัว แต่ถ้ามีขี้ตาแฉะมาก แสดงว่าตับกำลังร้อนเกินไป ตามปกติแล้วความร้อนในร่างกายเกิดจากการเผาผลาญอาหารที่กล้ามเนื้อและตับ ดังนั้นเลือดซึ่งอยู่ในตับจึงร้อนกว่าอวัยวะอื่นๆ
      
       19. ปัสสาวะเป็นฟองมากกว่าปกติ เวลาปัสสาวะปกติจะมีฟองสีขาวเกิดขึ้นสักพักแล้วหายไป แต่ถ้าฟองมีปริมาณมาก ไม่ยุบตัว และมีอาการปัสสาวะแบบนี้ติดต่อกันหลายวัน แสดงว่าไตเริ่มมีปัญหา หากปัสสาวะมีสีแดง สีชาหรือสีคล้ายน้ำล้างเนื้อร่วมด้วย ยิ่งเป็นการยืนยันว่ามีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นไตอักเสบ มีนิ่วในไต ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ หรือมีเนื้องอกในทางเดินปัสสาวะ หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษาอาจทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรัง
      
       20. ปวดหลัง อาการปวดหลังจากการนั่งทำงานนานๆ แตกต่างจากอาการปวดในกลุ่มเสี่ยงที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคไต คือรู้สึกปวดที่เอวหรือชายโครงด้านหลัง มักปวดร้าวไปที่ท้องน้อย ขาอ่อน หัวเหน่า อวัยวะเพศ และอาจมีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ไร้เรี่ยวแรง เวียนศีรษะ หน้ามืดตาลาย และเบื่ออาหาร ซึ่งการปวดในบริเวณดังกล่าว อาจเกิดจากการอักเสบที่กรวยไต
      
       21. น้ำหนักเพิ่ม หรือลดผิดปกติ การมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ให้พิจารณาว่ามาจากความอ้วนหรือไม่ แต่น้ำหนักเพิ่มขึ้นร่วมกับอาการบวมน้ำ คือตัวบวม หายใจหอบถี่ ต้องลุกไปปัสสาวะบ่อยๆ ตอนกลางคืน อาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคหัวใจ ไตวาย ต่อมไทรอยด์ผิดปกติ
      
       ส่วนการมีน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง อาจเป็นจุดเริ่มต้นของโรคร้ายแรง เช่น วัณโรค เบาหวาน ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ลำไส้อักเสบ หรือโรคมะเร็ง
      
       22. เหนื่อยง่าย โดยปกติแล้วคนเราสามารถออกแรงทำงานต่อเนื่องกัน 1 ชั่วโมงได้โดยไม่เหนื่อย แต่ถ้ารู้สึกเหนื่อยหอบ นี่คือสัญญาณบอกว่าหัวใจไม่แข็งแรง หรือหลอดเลือดอุดตันด้วยไขมัน
      
       23. ตัวเหลืองตาเหลือง อาจเกิดขึ้นจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือเกิดจากปัญหาสุขภาพตับ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ หรือมีนิ่วอุดตันในท่อน้ำดี ทำให้เกิดอาการดีซ่าน
      
       24. หัวใจเต้นผิดปกติ ถ้าอยู่ ๆ รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ หรือเต้นๆ หยุดๆ โดยไม่มีเหตุผล หรือมีอาการเจ็บปวด หรือหน้ามืด เวียนศีรษะด้วย อาจเป็นโรคไทรอยด์ หรือโรคหัวใจ
      
       25. หน้ามืด เกิดจากการที่สมองขาดเลือดและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงชั่วคราว อาจเกิดจากลุกขึ้นยืนเร็วเกินไป การพักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย กินยาหรือดื่มแอลกอฮอล์ที่มีฤทธิ์กดประสาท แต่หากมีอาการต่อเนื่อง2-3 วัน อาจเป็นเพราะความดันโลหิตต่ำ หรือโลหิตจาง

Tuesday, July 21, 2015

ทุเรียนเทศแก้มะเร็ง เรื่องลวงโลก

แพทย์จุฬาฯ พบคนไข้มะเร็งไทยตายเพราะตับและไตวาย ก่อนตายเพราะมะเร็ง เหตุหลงเชื่อทุเรียนเทศแก้มะเร็ง ย้ำต่างประเทศศาลลงโทษคนขายแล้ว ไทยคงมีเร็วๆ นี้

ความเชื่อผิดๆ "ทุเรียนเทศ" ฆ่าคนไข้ได้ หลังสังคมโซเชียล แพร่ข่าว “ทุเรียนเทศแก้มะเร็ง” ซึ่งเป็นแค่ผลการทดลองในหลอดแก้ว ยังไม่มีรายงานใช้ในคนไข้จริงๆ ทำให้ไม่ทราบผลว่าจะฆ่ามะเร็งในตัวคนได้หรือไม่ แถมผลข้างเคียงต่อตับไตอันตราย พบว่า ผู้ป่วยมะเร็งที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาฯกว่า 40 % กินใบทุเรียนเทศ จนทำให้ตับและไตวายเฉียบพลันไปแล้วกว่า 10 ราย ผลคือหมอต้องเลิกให้ยารักษามะเร็งและหยุดรักษา ไปแก้ตับไตวาย หลายรายไม่รอด ที่น่า อนาจใจคือคนไข้จบชีวิต เพราะ "ทุเรียนเทศ"ไม่ใช่เพราะ "มะเร็ง"

นพ.เพชร อลิสานันท์ หน่วยรังสีรักษาและมะเร็งวิทยา แผนกรังสีวิทยา รพ.จุฬา เผยว่า "ทุเรียนเทศ" เป็นพืชที่พบได้ในภูมิภาคป่าฝน เช่น แอฟริกา อเมริกาใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีชื่อที่หลากหลายในแต่ละภูมิภาค ในหลายๆ พื้นที่ได้ใช้พืชชนิดนี้รักษาโรคติดเชื้อ และในหลายประเทศก็มี"ความเชื่อ"ว่าใช้รักษามะเร็งได้ โดยที่ไม่มีหลักฐานหรือผลงานวิจัยในคนรองรับ งานวิจัยของทะเรียนเทศถูกทำขึ้นในหลอดทดลองเพื่อดูปฏิกริยาระหว่าง สารสกัดใบ ทุเรียนเทศกับเซลล์มะเร็ง ซึ่งพบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งตับและมะเร็งเต้านมบางชนิด ซึ่งการพัฒนายามาใช้เพื่อรักษาโรคจำเป็นต้องผ่านการทดลองในหลอดทดลอง สัตว์ทดลอง และในมนุษย์อีกหลายขั้นตอนเพื่อประเมินประสิทธิภาพ และผลข้างเคียงทั้งระยะสั้นและระยะยาว ก่อนจะนำมาใช้ในมนุษย์อย่างถูกต้องและปลอดภัย ซึ่งต้องใช้เวลา สรุปว่าหลักฐานทางการทดลองของทุกเรียนเทศจึงอยู่ในระดับต่ำและไม่ปลอดภัยที่จะนำมาใช้รักษามะเร็งเวลานี้ เนื่องจากในใบทุเรียนเทศไม่ได้ประกอบไปด้วยสารที่อาจจะมีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งเท่านั้น ยังประกอบไปด้วยสารอื่นๆ อีกมากมายหลายชนิดที่การแพทย์ยังไม่ทราบว่ามีผลอย่างไรต่อสุขภาพโดยผลทำให้คนไข้ตายไปแล้วหลายราย

คนไข้ที่ทาน"ทุเรียนเทศ" ยังมีผลเกิดการเคลื่อนไหวร่างกายที่ผิดปกติ คล้ายกับผู้ป่วยโรค Parkinson เนื่องจากทุกเรียนเทศเป็นพิษต่อระบบประสาท ซึ่งบางงานวิจัยพบว่าพิษจากทุเรียนเทศ สามารถผ่านชั้นเยื่อหุ้มสมองเข้าสู่เนื้อสมองโดยตรงได้อีกด้วย และการรับประทานต่อเนื่องทำให้ตับและไตวายได้ ถึงเสียชีวิตในที่สุด
กรณีศึกษาที่ประเทศอังกฤษ นาย Andrew Harris ผู้ที่ขายทุเรียนเทศทางอินเตอร์เนต เพื่อรักษามะเร็ง ถูกศาลศาลตัดสินว่าโฆษณาสรรพคุณเกินจริง ถูกปรับ 350 ปอนด์ แล้วก็ต้องรายงานต่อศาล 2 ปี โดยที่เมืองไทย อย. ยังไม่มีการดำเนินคดี ซึ่งเร็วๆนี้เชื่อว่า ญาติผู้เสียชีวิตอาจแจ้งความเอาผิดผู้ขายได้

พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา ให้ความเห็นว่า การใช้สื่อ โซเชียลมีเดีย ในการนำเสนอความเชื่อการรักษาต่างๆนั้น ขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณ บางครั้งเรื่องที่อาจเห็นว่าเป็นประโยชน์อาจกลายเป็นเรื่องไม่จริง และไปสร้างความหวังผิดๆทางการแพทย์ ให้กับประชาชนโดยเฉพาะ กรณีไม่แน่ใจโปรดหาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เช่นจากคณะแพทย์ สถาบันการแพทย์ หรือโรงพยาบาลต่างๆ หรือ ปรึกษาแพทย์ของท่าน ก่อนปรับเปลี่ยนการรักษา สำคัญที่สุดคือไม่แน่ใจอย่า ฟอร์เวิร์ด ทั้ง ไลน์ และ FB ท่านอาจเป็นต้นเหตุทำให้ เพื่อนท่านเสียชีวิตได้

สอบถามเพิ่มเติม :หน่วยรังสีรักษาและมะเร็งวิทยา ฝ่ายรังสีวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โทร 02 256 4334

Sunday, July 5, 2015

น้ำผึ้งกับอบเชย ดี้ดี

อย่างนี้เรียกว่า มีหลักฐานชัด
รับประทานน้ำผึ้งผสมอบเชย
(Honey and Cinnamon)
ดี 18 ประการ

          น้ำผึ้งเป็นอาหารเพียงชนิดเดียวในโลกนี้ที่ไม่เสีย
หรือบูดเน่า จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล แท้จริงแล้วน้ำผึ้งแท้ก็
คือน้ำผึ้งแท้อยู่วันยังค่ำ อย่างไรก็ตามถ้าปล่อยทิ้งไว้ใน
ที่มืดนานๆ มันจะตกผลึก ถ้าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ให้นำขวดน้ำผึ้งแช่ในน้ำร้อน ปล่อยให้ค่อยๆ เย็นลง
จนกลายเป็นของเหลว มันก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม อย่านำเข้าตู้ไมโครเวฟเด็ดขาด เพราะจะทำลาย
เอ็นไซม์ในน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งกับอบเชย
          กล้ากล่าวได้ว่าบริษัทยาทั้งหลายไม่ชอบใจแน่ๆ การค้นพบข้อเท็จจริงของส่วนผสมน้ำผึ้งกับอบเชย
สามารถรักษาโรคได้เป็นส่วนมาก
          น้ำผึ้งสามารถผลิตได้ทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์
ในปัจจุบันยังยอมรับว่าเป็น “Ram Ban” (มีประสิทธิผลมาก) ในการรักษาโรคนานาชนิด น้ำผึ้งสามารถใช้ได้โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
          ปัจจุบันวิทยาศาสตร์กล่าวว่าแม้น้ำผึ้งจะมีรสหวาน ถ้ารับประทานในปริมาณที่เหมาะสมก็จะเป็นยาชนิดหนึ่ง ไม่เป็นอันตรายแก่ผู้ป่วยเบาหวาน ึ
          หนังสือ World Weekly News ของแคนาดา
ประจำวันที่ 17 มกราคม 1995 ได้บอกถึงสรรพคุณของ
น้ำผึ้งกับอบเชยว่ารักษาโรคใดได้บ้าง ซึ่งเป็นผลการวิจัย
ของนักวิทยาศาสตร์ชาติตะวันตกดังนี้ :-

01. โรคหัวใจ (Heart Diseases)   
       นำน้ำผึ้งผสมกับผงอบเชยแล้วป้ายขนมปัง
แทนเยลลี่และแยม ทานเป็นประจำเป็นอาหารเช้า
จะช่วยลดคอเรสเตอรอลในเส้นเลือดและช่วยลดอาการ
หัวใจวาย สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ถ้ารับประทานตามที่แนะนำมานี้เป็นประจำ ก็จะทำให้อาการเจ็บกล้ามเนื้อหัวใจทุเลา
ถ้าคนปกติรับประทานเป็นประจำดังกล่าวมา
ก็จะทำให้ระบบหายใจดีขึ้น การเต้นหัวใจแข็งแรงขึ้น ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา สถานดูแลผู้ป่วยหลายแห่งใช้วิธีนี้บำบัดคนไข้ได้ผลดี และค้นพบต่อไปอีกว่า เมื่อคนเราอายุมากขึ้น เส้นโลหิตแดงและโลหิตดำขาดความยืดหยุ่น
และอุดตันได้ง่าย น้ำผึ้งกับอบเชยสามารถฟื้นฟูเส้นโลหิตทั้งสองชนิดได้

02. โรคปวดข้อปวดกระดูก (Arthritis)   
       ผู้ป่วยโรคปวดข้อปวดกระดูกอาจจะรับประทาน
เป็นประจำ โดยชงน้ำผึ้ง 2 ช้อน กับผงอบเชย 1 ช้อนชา
ในน้ำร้อนขนาดถ้วยกาแฟทุกเช้าและเย็น ก็จะทำให้อาการปวดทรมานหายได้
จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยโคเปนฮาเกน พบว่าหมอให้คนไข้รับประทานน้ำผึ้งขนาด 2 ช้อนโต๊ะ
กับผงอบเชยขนาด ครึ่งช้อนชา ก่อนอาหารเช้า พบว่าในเวลา 1 สัปดาห์ คนไข้จำนวน 73 คน
จากจำนวนทั้งหมด 200 คน ที่เข้าร่วมโครงการทดลอง
มีอาการปวดลดลง เมื่อทดลองต่อไปจนครบ 1 เดือน
ปรากฏว่าคนไข้ส่วนใหญ่ที่เดินไม่ได้สามารถเดินได้
เองโดยไม่มีอาการปวดแต่อย่างใด

03. โรคกระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ (Bladder Infections)
       ให้ใช้ผงอบเชย 2 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
ชงในน้ำอุ่น 1 แก้วแล้วดื่ม มันจะไปฆ่าเชื้อในกระเพาะ
ปัสสาวะ

04. คลอเลสเตอรอล (Cholesterol)
       ชงน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ กับผงอบเชย 3 ช้อนชา
ในน้ำชา ขนาด 16 ออนซ์ ให้คนไข้ที่มีระดับคลอเลส
เตอรอลสูงดื่ม ปรากฏว่าภายในเวลา 2 ชั่วโมง ระดับคลอเลสเตอ รอลลดลง 10 เปอร์เซ็นต์
ดังที่ได้กล่าวถึงคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคปวดข้อ ถ้าให้คนไข้ดื่มวันละ 3 เวลา คลอเลสเตอรอลจะหายเป็นปกติได้
ตามข้อมูลที่อ่านจากนิตยสารนี้กล่าวว่า การดื่มน้ำผึ้งบริสุทธิ์พร้อมอาหารเป็นประจำทุกวัน
ช่วยลดคลอเลสเตอรอลได้

05. ไข้หวัด (Colds) 
       สำหรับผู้ที่มีอาการทรมานจากไข้หวัดทั่วไป หรือ
ไข้หนัก ควรชงน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับผงอบเชย ¼ ช้อน
ทุกวัน เป็นเวลา 3 วัน ก็จะช่วยลดอาการไอรุนแรงและ
จมูกโล่ง

06. อาการท้องอืด (Upset Stomach)  
       ให้รับประทานน้ำผึ้งผสมผงอบเชยจะช่วยให้
อาการปวดท้องทุเลา และยังช่วยลดอาการแผล
ในกระเพาะอาหารได้ด้วย

07. ลมในกระเพาะ (Gas)
       ผลการศึกษาในอินเดียและญี่ปุ่นพบว่า ถ้ารับประทานน้ำผึ้งกับผงอบเชยจะช่วยลดลมภายใน
กระเพาะอาหารลงได้

08. ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย (Immune System)
       การรับประทานน้ำผึ้งผสมผงอบเชยประจำวัน
จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกายให้เข้มแข็ง ช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นักวิทยาศาสตร์พบว่าในน้ำผึ้งมีวิตามินหลายชนิดและธาตุเหล็กเป็นจำนวนมากการรับประทานน้ำผึ้งประจำ
ยังเพิ่มเม็ดเลือดขาวเพื่อต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและ
ไวรัสได้

09. อาหารไม่ย่อย (Indigestion)
       โรยผงอบเชยลงบนน้ำผึ้งขนาด 2 ช้อนโต๊ะ
ก่อนอาหารจะช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร
และช่วยให้การย่อยอาหารเมื้อหนักได้ดี

10. ไข้หวัดใหญ่ (Influenza)  
       นักวิทยาศาสตร์สเปนได้พิสูจน์น้ำผึ้งประกอบ
ด้วยสารอาหารธรรมชาติที่ทำลายเชื้อไข้หวัดใหญ่
และช่วยให้ผู้ป่วยให้ปลอดภัยจากไข้หวัดใหญ่

11. ยาอายุวัฒน
อาหารที่มีพลังงานสูง (Longevity)
       การดื่มชาที่ผสมน้ำผึ้งกับผงอบเชยเป็นประจำ
ช่วยชะลอความชรา
วิธีการทำคือ ใช้น้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ ผงอบเชย 1 ช้อน น้ำเปล่า 3 ถ้วย แล้วนำไปต้มเหมือนชา ให้ดื่ม ¼ ถ้วยวันละ 3-4 เวลา จะช่วยให้ผิวหนังเปล่งปลั่ง นุ่มมีน้ำมีนวล ช่วยทำให้อายุยืน อาจถึง 100 ปีให้เริ่มต้นตั้งแต่อายุราว 20 ปี

12. แก้สิว (Pimple)
       ผสมน้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ กับผงอบเชย 1 ช้อนชา
ให้เข้ากัน แล้วป้ายบนหัวสิวก่อนนอน แล้วล้างออก
ในวันรุ่งขึ้นด้วยน้ำอุ่น ถ้าปฏิบัติติดต่อกัน 2 สัปดาห์
ก็จะสามารถกำจัดหัวสิวได้

13. ผิวหนังติดเชื้อ (Skin Infections)
       ใช้น้ำผึ้งผสมกับผงอบเชยปริมาณเท่าๆ กัน
ทาบริเวณที่ติดเชื้อ จะช่วยรักษาเรื้อนกวาง (eczema) กลากและโรคผิวหนังชนิดต่างๆ ได้

14. ลดน้ำหนัก (Weight Loss)
       ดื่มน้ำผึ้งผสมผงอบเชยในน้ำร้อน ทุกๆ เช้าก่อน
อาหารครึ่งชั่วโมง ขณะท้องว่างและก่อนนอนทุกคืน ถ้าทำเป็นประจำจะช่วยลดน้ำหนัก แม้คนที่อ้วนมากๆ 
เช่นเดียวกัน ถ้าดื่มเครื่องดื่มที่กล่าวมานี้ จะช่วยไม่ให้
ไขมันสะสมในร่างกาย

15. โรคมะเร็ง (Cancer)   
       ผลการวิจัยในญี่ปุ่นและออสเตรเลียเมื่อไม่นาน
มานี้พบว่า ผู้ที่เป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารและมะเร็ง
กระดูกในขั้นมากๆ แล้วสามารถรักษาได้สำเร็จ 
ผู้ป่วยที่ได้รับความทรมานจากมะเร็งดังกล่าว
ควรดื่มน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมผงอบเชย 1 ช้อนชา
เป็นประจำ 3 เวลา ประมาณ 1 เดือน

16. แก้อาการอ่อนเพลีย (Fatigue)
       ผลการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ แสดงให้เห็นว่าน้ำตาล
ในน้ำผึ้งมีประโยชน์มากในการเพิ่มพลังให้แก่ร่างกาย ในผู้สูงวัยที่รับประทานน้าผึ้งกับผงอบเชยในปริมาณ
เท่าๆ กัน ช่วยให้กระปรี้กระเปร่าและมีร่างกายที่ยืดหยุ่น
       ดร. มิลตัน ที่ศึกษาเรื่องนี้กล่าวว่า การดื่มน้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะ ในแก้วหนึ่งแก้ว โรยด้วยผงอบเชยเป็นประจำ
หลังแปรงฟันและตอนบ่ายราวๆ 15.00 น.เมื่อร่างกาย
เริ่มล้า จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงมีชีวิตชีวาใน 1 สัปดาห์

17. ขจัดลมหายใจมีกลิ่น (Bad Breath)
       ชาวอเมริกาใต้ ตื่นนอนตอนเช้า
สิ่งที่เขาทำอันดับแรกคือ
กลั้วคอด้วยส่วนผสมของน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
กับผงอบเชยในน้ำร้อน เพื่อให้ลมหายใจสดชื่นตลอดวัน

18. สูญเสียการได้ยินกลับคืนมา (Hearing Loss)
       การรับประทานน้ำผึ้ง และผงอบเชยผสมกัน
ในปริมาณเท่าๆ กันเป็นประจำทุกเช้าและก่อนนอน
จะช่วยให้การได้ยินกลับมาเหมือนเดิม จำได้ไหมเมื่อครั้งเป็นเด็ก เรากินขนมปังทาเนยโรยด้วยผงอบเชย
วค.15 กันยายน 2557
อาจารย์นิพนธ์ในรูปอายุ 83 ปีแล้ว
ท่านดื่มเป็นประจำ สุขภาพแข็งแรงมากค่ะ
วิจัยล่าสุดพบว่า ลดความดันได้ด้วย

ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี

คุณหมอท่านนี้ กินวันละมื้อ
ปัจจุบันอายุ 56 แต่หน้าเหมือน 36
เขาทำได้อย่างไร
Being Hungry Makes You Healthy

หนังสือ “ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี”

เขียนโดย นายแพทย์โยะชิโนะริ นะงุโม (Yoshinori Nagumo)

: ในบทนำมีการเกริ่นว่า ผู้เขียนเริ่มทานอาหารเหลือวันละมื้อ เมื่ออายุ 45 ปี เพราะปัญหาเรื่องสุขภาพ ผ่านไปสิบปี เมื่อเขาไปตรวจร่างกาย พบว่า อายุหลอดเลือดของเขา เท่ากับคนอายุ 26 ปี

: เขาเล่าว่า มนุษย์ในอดีต ไม่ได้มีกินอุดมสมบูรณ์ โดยกินสามมื้อเหมือนปัจจุบันนี้

: ในอดีตเรากินวันละมื้อก็บุญแล้ว ดังนั้นร่างกายเราจึงมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง เมื่อเราหิว ไม่มีกิน เราจะมียีนที่ชื่อ เซอร์ทูอินออกมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆ ภายในร่างกาย ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา ซึ่งเจ้า Growth Hormone นี้ทำให้เรากลับเป็นหนุ่มสาวมากขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการเพื่อการอยู่รอดปัญหาก็คือเมื่อร่างกายอิ่ม กลไกนี้ไม่เกิด เราจึงแก่ไปเรื่อยๆ สรุปง่ายๆก็คือ การกินมากไป คือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ และที่สำคัญ ร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบให้กินอิ่ม เราจึงปรับตัวให้การกินอิ่มได้ไม่ดี ทำให้กระบวนการธรรมชาติของร่างกายเรารวนนั่นเอง

: ในเรื่องการกินวันละมื้อ ผู้เขียนได้แนะนำสิ่งที่เขาทำมาแล้วได้ผล เขาบอกว่า เขาเพลิดเพลินกับการที่ได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อกๆ เพราะว่า เขารู้ว่าร่างกายเรากำลังซ่อมแซม และปรับตัวให้เยาว์วัย ด้วยกระบวนการที่กล่าวถึงข้างต้น

: ในเชิงหลักการทางวิทยาศาสตร์ เขาอธิบายดังนี้

(1) ปากทางเข้าลำไส้เล็ก จะมีเซ็นเซอร์เตรียมรอรับของกินอยู่ ถ้าไม่มีอาหารไหลลงมาเสียที ลำไส้เล็กก็จะรีบหลั่งฮอร์โมนสำหรับย่อยอาหาร โมลิติน (Molitin) ออกมา ทำให้กระเพาะอาหารบีบตัว เพื่อส่งของกินที่อาจจะตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเข้าไปในลำไส้เล็ก เรียกว่า “การบีบตัวเมื่อหิว” และเป็นตัวการที่แท้จริงของอาการท้องร้องจ๊อกๆ

(2) เมื่อกระเพาะรู้ตัวว่า หิวจะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ออกมา เกรลินจะถูกหลั่งออกมาจากเยื่อบุกระเพาะอาหาร ซึ่งถูกกระตุ้นเพราะความหิว โดยจะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ทำให้เกิดความอยากอาหาร ขณะเดียวกันก็จะออกฤทธิ์ที่ต่อมใต้สมอง ทำให้หลั่ง Growth Hormone ออกมา

: เจ้า Growth Hormone นี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฮอร์โมนที่ทำให้กลับไปเป็นหนุ่มสาว” นั่นหมายความว่า ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆเพราะหิว คุณจะค่อยๆ มีเสน่ห์ขึ้น จากฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว ถึงท้องจะร้อง ก็อย่าเพิ่งรีบกินอาหาร ให้มาลองเพลิดเพลินกับประสิทธิภาพของการกลับเป็นหนุ่มสาว ที่ได้จาก Growth Hormone กันสักครู่หนึ่งก่อน

(3) ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ นั้น ความสามารถในการอยู่รอดอันยอดเยี่ยม กำลังพลุ่งพล่านขึ้นมา นั่นก็คือ “ยีนเซอร์ทูอิน” ที่มีสมญาว่า “ยีนต่ออายุขัย” หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ยีนที่ทำให้อายุยืน” กำลังทำงาน

: จากการทดลองกับสัตว์หลายชนิดพบว่า เมื่อลดปริมาณอาหารลง 40% จะทำให้อายุยืนขึ้น 1.5 เท่า ทว่ายีนนี้จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อ มีเงื่อนไขบางประการ นั่นคือ “ความหิว” ตราบใดที่ท้องไม่ร้องจ๊อกเพราะหิว ยีนนี้ก็จะไม่ทำงาน ดังนั้น การกินอาหารทั้งที่ยังไม่หิว จึงหมายถึง การมีของดีอยู่กับตัว แต่ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์

: มาทำให้ท้องร้องจ๊อก ด้วยการกินอาหารวันละมื้อดีกว่า แล้วยีนเซอร์ทูอินนี้จะช่วยสแกนยีนในร่างกายอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งค่อยๆ ฟื้นฟูส่วนที่เสียหาย

: กล่าวกันว่า ความแก่ชราและโรคมะเร็ง ก็มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของยีน ดังนั้น เราสามารถทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว และป้องกันโรคมะเร็ง ด้วยการกินอาหารวันละมื้อ

: ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหิวแล้วอาหารยังตกไม่ถึงท้อง ร่างกายจะนำไขมันที่สะสมไว้ในช่องท้อง มาเปลี่ยนเป็นสารอาหาร ทำให้หน้าท้องแบนราบ

: นอกจากการกินวันละมื้อแล้ว ผู้เขียนมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติมอีกว่า การนอนที่ดีคือ นอนในช่วงร่างกายผลิต Growth Hormone ได้ดีที่สุด นั่นก็คือ ช่วงเวลาระหว่าง สี่ทุ่มถึงตีสอง

: เมื่อตอนคุณหมอนะงุโมมีอายุ 37 ปี เขาหนัก 77 กิโลกรัม และเมื่ออายุ 57 ปี หนัก 62 กิโลกรัม ความดันโลหิตเท่ากับคนอายุ 26 ปี อายุมวลกระดูกเท่ากับคนอายุ 28 ปี และสมองมีอายุเท่ากับคนอายุ 38 ปี

: รูปในอินเทอร์เน็ตถึงแม้ขณะนี้คุณหมออายุ 59 ปี แต่หน้าตาเหมือนไม่ถึง 40 ปี ด้วยซ้ำ

: คุณหมอพูดว่า แค่เริ่มต้นไม่กี่วัน ก็จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพแล้ว กลิ่นตัวจะหายไป ผิวหนังจะเนียนขึ้น หน้าท้องจะเรียบขึ้น รูปลักษณ์ของคนผอมจะเริ่มปรากฏ และจิตใจคึกคักขึ้นกว่าเก่า

: คุณหมอแนะนำให้ทำติดต่อกัน 52 วัน โดยกินอาหารวันละหนึ่งมื้อ คือมื้อกลางวัน ในมื้อนี้อยากกินอะไรก็ตามใจตัวเองได้ หากหิวมากก็อาจเสริมด้วยผลไม้และอาหารเบาๆ

หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรก คอลัมน์ “อาหารสมอง” กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่อังคาร 20 ม.ค. 2558