Wednesday, May 4, 2016

ประโยชน์16ประการของ 'สับประรด'(สับปะรด)

ผลไม้มหัศจรรย์มากคุณค่า ลดริ้วรอย ชะลอวัย ทำให้ผิวขาว บำรุงสายตา บำรุงสมอง ป้องกันเบาหวาน มะเร็ง เก๊าต์ ลดอักเสบปวดกล้ามเนื้อ ปวดประจำเดือน ฯลฯ

สับประรดเป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยหวานๆ เปรี้ยวนิดๆ ถูกปากถูกใจใครหลายคน ไม่ว่าผู้หญิง ผู้ชาย ต่างได้ลิ้มรสแล้วเป็นหยุดไม่ได้ สับประรดไม่เพียงแค่อร่อยเท่านั้น แต่ยังมีคุณประโยชน์มากมายอย่างคาดไม่ถึง ต้องอ่าน 15 เหตุผลว่าทำไมต้องกินสับประรด ทั้งที่หลายคนบอกว่ามันเป็นผลไม้บ้านนอก

1.เพิ่มพลังงาน
สับประรด ช่วยเพิ่มระดับพลังงานได้อย่างที่คาดไม่ถึง เพราะในสับประรด มีน้ำตาลจากธรรมชาติ ที่ช่วยเพิ่มระดับพลังงานได้เยี่ยมยอด

2. ลดริ้วรอย ชะลอวัย ทำให้ผิวขาว
สับประรด มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก สับประรด ช่วยสังเคราะห์คอลลาเจน จึงช่วยในเรื่องการเกิดริ้วรอยทำให้ชะลอวัย ต้านความแก่ได้ดี บำรุงร่างกายและผิวพรรณ ต้องบำรุงจากภายในสำคัญกว่าภายนอก และยังช่วยลดการผลิตเมลานิน จึงมีส่วนช่วยทำให้ผิวคุณขาวขึ้นได้

3. ควบคุมน้ำหนักได้ การย่อยอาหารดีขึ้น ลดระดับคอเลสเตอรอล
เนื้อของผลสับประรด มีปริมาณเส้นใยสูง ปรับสมดุลระบบการย่อยอาหาร ช่วยในการลดน้ำหนักได้ดี สับประรด ยังช่วยลดระดับของไขมันเลว (LDL) และทำให้ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้อีกด้วย

4. บำรุงดวงตา
สับประรด เป็นผลไม้ที่ดีสำหรับดวงตา สับประรด มีวิตามินมากมาย และมีเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยส่งเสริมวิสัยทัศน์ที่ดีในการมองเห็น ทำให้ดวงตามีสุขภาพดีขึ้น

5.ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง
การกินสับประรด เป็นประจำ ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับโรคมะเร็งบางชนิดได้ เพราะสับประรด เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ มีคุณสมบัติช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

6.ความจำดี บำรุงสมองของคุณ
ถ้ารู้สึกหลงๆ ลืมๆ สับประรด สามารถช่วยให้ความจำของคุณดีขึ้น เรียกได้ว่าสับประรด เป็นอาหารของสมองเลย เมื่อใดที่รู้สึกว่าสมองเมื่อยล้า คิดอะไรไม่ออก หยิบสับประรดมากิน จะช่วยให้สมองสดใสปิ๊งไอเดียใหม่ๆ ได้

8.ทำให้นอนหลับได้สบายมากขึ้น
หากมีปัญหากับการนอนหลับ เป็นคนหลับยาก การกินสับประรด อย่างสม่ำเสมอช่วยได้อย่างแน่นอน เพราะสับประรดมีเมลาโทนินที่ช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น

9. ลดน้ำตาลในเลือด ป้องกัน-บรรเทาเบาหวาน
สับประรด ผลไม้สีสวย สีเข้มจนเกือบดำนี่เอง ที่มีสารแอนโธไซยานิน สรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน และบรรเทาอาการเบาหวาน

10. ป้องกันและรักษาโรคเกาต์ อาการข้ออักเสบปวดบวมตามข้อ
กินสับประรด ช่วยลดอาการปวดและบวม บรรเทาอาการปวดได้เป็นอย่างดี ป้องกันและรักษาโรคเกาต์ อาการข้ออักเสบปวดบวมตามข้อได้มากถึง 70% หากกินต่อเนื่องเป็นประจำ หรือปวดข้ออักเสบให้กินสับประรด เข้าไปแทนการกินยา และสังเกตเลยว่ามันจริงหรือไม่

11.ช่วยป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ
สับประรด มีสารโพแทสเซียมสูงมาก พอๆ กับกล้วย โพแทสเซียมมีคุณสมบัติช่วยลดและป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ เราทราบกันดีว่ากล้วยราคาถูกกว่าและมีโพแทสเซียมสูง แต่หลายคนไม่ชอบกินกล้วย สับประรด เป็นอีกทางเลือกหนึ่งได้

12. ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
สับประรด ถือเป็นผลไม้หรืออาหารที่ดีสำหรับหัวใจ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ดูแลสุขภาพหัวใจของคุณให้แข็งแรงได้ด้วยการกินสับประรด

13. ช่วยลดอาการอักเสบ
หนึ่งในประโยชน์ด้านสุขภาพที่สำคัญที่สุดของสับประรดคือ ช่วยลดอาการอักเสบได้ดี เหมาะสำหรับนักวิ่งและนักกีฬาที่อาจจะปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือได้รับบาดเจ็บหลังจากการออกกำลังกายหรือกิจกรรมหนักๆ กินสับประรดช่วยได้จริงๆ

14. รักษาความปวดข้ออักเสบ
สำหรับผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ ที่กำลังทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวด ให้ลองดื่มน้ำสับประรด คั้นบริสุทธิ์ วันละ 3 แก้ว ก่อนหรือหลังอาหาร 15 นาที จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ดี

15. บรรเทาอาการปวดประจำเดือน
โพแทสเซียมในสับประรด ช่วยลดและป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ ยังอาจช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้อีกด้วย ดื่มน้ำสับประรด คั้นบริสุทธิ์ วันละ 3 แก้ว ก่อนหรือหลังอาหาร 15 นาที จะช่วยบรรเทาได้

กินสับประรด ให้ได้คุณค่า ต้องกินแบบสดๆ นะคะ ถ้าเป็นน้ำสับประรด ก็เป็นน้ำคั้นจากสับประรด 100% ไม่เติมน้ำตาลและวัตถุกันเสีย คุณจะได้คุณค่าจากสับประรด ที่แท้จริง

   16. สับประรด จะปลอดสารพิษตกค้าง เนื่องจากไม่มีการฉีดพ่นยาฆ่าแมลงหรือสารกำจัดศัตรูพืชแต่อย่างใด เพราะสับประรด เป็นพืชที่ปลอดจากศัตรูพืชทุกชนิด                          
       แชร์ให้เพื่อนสนิท มิตรสหาย และผู้มีพระคุณ เพื่อเป็นทานต่อสาธารณะชนต่อไปด้วยครับ

Tuesday, May 3, 2016

ประโยชน์ ของการอดอาหาร "มื้อเย็น"

ทำอย่างไรจึงจะ "ไม่แก่ ไม่อ้วนและอายุยืน"

คำตอบคือ. "กินสายกลาง "
กินสายกลางคือ กินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง งดมื้อเย็น

เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์ ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินมื้อเช้า รถจึงจะวิ่งได้ ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด เติมอีกครั้ง ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมดพิสูจน์ได้ดังนี้

สมมุติกินไข่ลวก 1 ฟองโตๆ มีไข่แดงหนัก 50 กรัม ในไข่แดงมีคลอเลสเตอรอล 1 กรัม ให้พลังงาน 9 แคลอรี่ ฉะนั้น 50 กรัม ให้พลังงาน 450 แคลอรี่ จะต้องออกกำลังกายเพื่อใช้พลังงานนี้ โดยขี่จักรยานตั้งแรงต้านไว้ 1.3 กก . ความเร็วที่ปั่นบันไดจักรยาน 60 รอบต่อนาที ขี่อยู่นาน 60 นาที จะเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลท่วมตัว แต่ใช้พลังงานไปเพียง 300 แคลอรี่ ไข่ใบเดียวยังใช้ไม่หมด!!

ฉะนั้น ถ้ากินมื้อเช้า มื้อเที่ยง จนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก
เพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่างๆ โดยตับเป็นผู้ทำงานนี้ ถ้าพลังงานเหลือมาก การเอาไปเก็บในที่ต่างๆก็มาก ทำให้อ้วน และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวกไขมันตัวโตๆ จะต้องค้างอยู่ในหลอดเลือด ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด รูหลอดเลือดก็จะเล็กลงทุกวัน เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้น้อยลง อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น ถ้าวันไหนอุดตัน เช่นถ้าตันที่สมอง จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก ถ้าอุดตันที่ไต ต้องล้างไต เปลี่ยนไต ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้ง ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร

ฉะนั้น การกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการ"เสื่อมของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย "ร่ายกายต้องใช้พลังงานอย่างหนักในการเผาผลาญอาหาร"

ยิ่งกินมื้อเย็นในปริมาณที่เยอะ ก็ยิ่งเร่งการเสียชีวิตให้เร็วขึ้นไปอีก "มื้อเย็น"จึงเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง

ฉะนั้น จึงหมายความว่าการกินมื้อเย็นมาก ยิ่งผ่อนส่งมาก ตายเร็ว ถ้าไม่กินมื้อเย็น ก็จะแก่ช้า เสื่อมช้า อายุยืน

การไม่กินอาหารมื้อเย็นเป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมาก
ถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส สุขภาพดี อายุยืน และมีสมาธิดี ความมุ่งมั่นสูง ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ

แต่ท่าน ต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน

วิธีฝึกมี 4 วิธี

1. ค่อยๆลดปริมาณอาหารมื้อเย็น ทีละน้อยๆเช่นลดกินข้าวจาก 2 จาน เหลือ 1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน โดยมีข้อแม้ว่า หลังอาหารเย็นแล้วห้ามกินอาหารใดๆทั้งนั้นยกเว้นน้ำเปล่า พอกระเพาะชินแล้วลดเหลือ 1 จาน ต่อไปครึ่งจาน ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ ต่อไปกินผักผลไม้ สุดท้ายงดอาหารเย็น

2. ร่นเวลากินอาหารเย็น เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น 5 โมงเย็น 4 โมงเย็น 3 โมงเย็น ฯ

3. กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที ดื่มน้ำตามอีก 4-5 แก้ว

4. กินมังสะวิรัตมื้อเย็น การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์ พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้ ร่างกายมีเวลาถึง 18 ช.ม. กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า มื้อเที่ยงได้ทัน ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็นจึงเป็นเวลาที่ตับ ไต จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน

ท่านทราบแล้วใช่ใหมว่า ทำไมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงบัญญัติให้พระฉันเพียง 2 มื้อคือ
"เช้ากับเพล"เท่านั้น ครับ จึงจะเหมาะสม

► คนละ |󾭉| 1 Like
► คนละ |󾭉| 1 Share
เพื่อเป้นกำลังใจให้แอดมิน ถ้าชอบสาระหรือบทความ อย่าลืมส่งต่อให้กับคนที่เรารักด้วยนะค่ะเผื่อคนรอบข้างเรากำลังประสบกับปัญหานี่อยุ่หรือเกิดเหตุการแบบนี่อยุ่  แค่ 1 แชร์ อาจจะช่วยชิวิต. คนเป็น ร้อยๆ ชีวิตได้ค่ะ    ขอบุญกุศลและบารมีที่ข้าพเจ้าทำมา ให้กับทุกคนที่อ่านโพสและแชร์ ถูกใจ โพสนี่ ปลอดภัย และไร้โรคโรคา ร่ำรวย และมีความสุขตลอดวัน

ออกกำลังตอนเช้าทั้งที่ท้องยังว่าง เสี่ยงตับพัง

เตือน! ออกกำลังตอนเช้าทั้งที่ท้องยังว่าง เสี่ยงตับพัง พอๆ กับคนกินเหล้า

        คนส่วนใหญ่ตื่นเช้ามาออกกำลังคิดว่าอากาศสดชื่น มลพิษน้อย อากาศเย็น ร่างกายยังสดชื่น เพราะได้พักมาทั้งคืน แต่อาจเป็นการทำร้ายสุขภาพมากกว่า!!
      
       เพราะตอนเย็น กินเสร็จเข้านอน ไม่ได้ใช้พลังงาน ขณะที่หลับ ตับจะทำการเปลี่ยนสารอาหาร แล้วนำไปเก็บไว้ในอวัยวะต่างๆ เช่น น้ำตาลเปลี่ยนเป็นไกลโคเจน ไตรกรี เซอร์ไรด์ ไขมันเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โปรตีนเปลี่ยนเป็นฟอสฟาเจน

เตือน! ออกกำลังตอนเช้าทั้งที่ท้องยังว่าง เสี่ยงตับพัง พอๆ กับคนกินเหล้า

        เมื่อตื่นนอนจึงไม่มีพลังงานหลงเหลืออยู่ในเลือด เหมือนกับรถยนต์น้ำมันแห้ง หากออกกำลังกาย ตับจะต้องดึงสารอาหารที่เปลี่ยนไปเก็บไว้ ให้กลับเป็นสารพลังงานในเลือดใหม่เกือบจะทันที
      
       ตับจะต้องทำงานหนักเพิ่มแค่ไหน จะทนสภาพนี้ได้นานเท่าไร เพราะไม่ได้พักเลย เหมือนคนกินเหล้า แล้วไม่กินอาหาร ตับต้องไปดึงสารอาหารจากที่ต่างๆ มาให้แอลกอฮอล์เผาผลาญ นานๆ เข้า ในตับมีแต่ไขมัน คนนั้นอาจกลายเป็นโรคตับแข็งได้
      
       ที่ถูกต้อง จะต้องกินอาหารและรอ 2 ช.ม.ก่อนจึงจะไปออกกำลังได้ เช่น กินอาหาร ตี 5 พอ 7 โมงเช้าจึงจะออกกำลังกายได้
      
       ฝรั่งมีแต่คำว่า morning walk ไม่เคยได้ยิน morning jogging เลย นั่นคือ ตอนเช้าออกกำลังกายเบาๆได้เท่านั้น เช่น เดินออกกำลัง โดยก่อนเดินก็จะกินอาหารเบา ๆ เช่น แซนด์วิช 1 ชิ้นกับโอวัลติน 1 ถ้วย ซึ่งจะใช้เวลาย่อยอาหารสัก 1/2 - 1 ช.ม. ก็พอ คือกินเล็กน้อย ออกกำลังกายเบาๆ ก็ใช้พลังงานน้อย
      
       ตื่นนอนเช้า ร่างกายยังไม่มีพลังงาน จำเป็นต้องกินอาหารก่อน แต่หลังกินอาหารอิ่ม ก็ยังไม่ควรไปออกกำลังกายทันที เพราะหลังกินอาหารช่วง 2 ช.ม.แรก จะมีเลือดมารอรับอาหารที่จะถูกย่อย ที่กระเพาะและลำไส้เป็นจำนวนมาก เพื่อพาไปแจกจ่ายยังอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย
      
       ถ้าออกกำลังกายหนักๆ ในตอนนี้ เช่น การวิ่งซึ่งต้องการเลือดมาเลี้ยงที่ขา 20 เท่าตัวของสภาวะปกติ เมื่อเลือดมารวมอยู่ที่กระเพาะเป็นจำนวนมาก บวกกับที่ขาอีก 20 เท่าดังกล่าว จะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้หน้ามืด เป็นลม หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจตายเฉียบพลัน ถึงชีวิตได้
      
       จึงห้ามออกกำลังหลังกินอาหารไม่ถึง 2 ช.ม.เด็ดขาด
      
       รอให้อาหารย่อยหมดแล้ว เลือดที่กระเพาะก็จะกระจายกลับไปหมด ถึงตอนนี้จะออกวิ่งก็จะปลอดภัย

เตือน! ออกกำลังตอนเช้าทั้งที่ท้องยังว่าง เสี่ยงตับพัง พอๆ กับคนกินเหล้า

        ลองพิจารณาการออกกำลัง ตอนเย็นบ้าง ถ้าเรากินอาหารเช้ากับกลางวัน พอตกเย็นรับรองว่าพลังงานยังมีเหลือเฟือ ตอนที่ทำงานใช้ไปไม่หมดแน่นอน สามารถออกกำลังกายได้เลย แต่อาจเติมอาหารอีกสักเล็กน้อย ก่อนไปออกกำลัง จะทำให้ไม่รู้สึกโหย (ความจริงไม่ต้องไปกินอะไรเลยก็ได้)
      
       ข้อสำคัญ เมื่อออกกำลังตอนเย็นเสร็จแล้ว ให้ดื่มน้ำ โดยค่อยๆ ดื่ม จนรู้สึกอิ่ม พอกลับถึงบ้าน ท่านจะไม่รู้สึกหิวและไม่อยากกินอะไรอีก
      
       และหลังออกกำลังกายตอนเย็นนี้แล้ว เมื่อถึงเวลาเข้านอน จะเหลือสารอาหารค้างน้อยที่สุด ตับไม่ต้องทำงานมาก สารอาหารไม่ไปเก็บตามที่ต่างๆ จึงไม่ทำให้อ้วน และไม่เหลือค้าง ในหลอดเลือด โดยเฉพาะไขมัน จึงเป็นวิธีที่จะลดไขมันในเลือดได้ดีที่สุด โดยไม่ต้องกินยา
      
       จากงานวิจัยต่างประเทศ พบว่า การออกกำลังกายตอนเช้าจะทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายลดลง ส่วนการออกกำลังตอนเย็นจะทำให้ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น
      
       มีข้อแนะนำ คือ ออกกำลังกายแบบแอโรบิกก่อนนอนเช่น เดินบนสายพาน หรือขี่จักรยาน 30 นาที - 60 นาที หรือยืนแกว่งแขน 20 นาที ก่อนนอน ไม่ต้องกลัวว่าจะนอนไม่หลับ เพราะร่างกายจะหลั่ง "เอนดอร์ฟีน" ออกมา ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายๆ มอร์ฟีนที่ใช้ฉีดให้คนไข้หลังผ่าตัด จะทำให้ง่วงนอน คลายความเจ็บปวด คลายเครียดได้ดี
      
       ฉะนั้น ออกกำลังกายเสร็จ อาบน้ำ แล้วเข้านอนเลย ท่านจะนอนหลับสนิทชนิดไม่ฝัน ซึ่งจะต้องการการนอนเพียง 5 ช.ม. ก็เพียงพอ สังเกตว่าตอนทำงานช่วงกลางวัน จะไม่เพลีย ไม่ง่วง
      
       นอกจากนี้มีงานวิจัยใหม่ๆ ออกมา พบว่า คนนอน 5 ช.ม. มีโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน น้อยกว่าพวกนอน 7-8 ช.ม.ด้วย
___________________________
      
ข้อมูล : จากบทความ “ออกกำลังกายตอนเช้าหรือตอนเย็นดี..?? โดยหมอเสก จุฬาฯ”