Monday, December 28, 2015

นอนดึก ตื่นสาย ทำลายภูมิคุ้มกันร่างกาย...อันตรายสุดๆ

การนอนดึก ตื่นสาย ของคนเมืองนั่นวิถีชีวิตแบบนี้คือการบั่นทอนและทำลายร่างกายไปโดยไม่รู้ตัว เป็นปัญหาสุขภาพที่จะตามมาในอนาคต

หลังจากตรากตรำงานหนักมาตลอด 5 วัน ต้องตื่นเช้าไปทำงาน หรือเรียนหนังสือ ดังนั้น พอถึงเย็นวันศุกร์-เสาร์ ชีวิตของคนทำงานหรือคนในเมืองส่วนใหญ่ก็จะพักผ่อน ดูโทรทัศน์ ดูหนัง ท่องอินเทอร์เน็ต นัดสังสรรค์ เที่ยวกลางคืนจนดึกดื่นเลยเที่ยงคืน แล้วนอนเต็มที่ วันรุ่งขึ้น ตื่นนอนตอนสาย บางคนเลยเที่ยงวันไปก็มี ไม่ต้องกินมื้อเช้า

น่าเป็นห่วงว่าเด็กสมัยนี้จำนวนมากมีวิถีชีวิตแบบนี้ โดยเฉพาะเด็กมหาวิทยาลัย (วันเสาร์-อาทิตย์ไม่ต้องตื่นแต่เช้าไปกวดวิชาเหมือนตอนอยู่ประถมหรือมัธยม)

บางคนสำคัญผิดคิดว่า นี่คือวันแห่งเสรีภาพที่ได้รับการปลดปล่อยประจำสัปดาห์ นอนให้อิ่มไปเลย อาหารเช้าไม่ต้องกิน แถมยังเป็นการลดความอ้วนไปในตัว แต่หารู้ไม่ว่าวิถีชีวิตแบบนี้คือการบั่นทอนและทำลายร่างกายไปโดยไม่รู้ตัว เป็นปัญหาสุขภาพที่จะตามมาในอนาคต

**** การนอนตื่นสายผิดวิถีธรรมชาติ
ในช่วงเช้า 05.00-07.00 น. รุ่งอรุณ ดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออก ฟ้าเริ่มสว่าง ประตูแห่งดินได้เปิดขึ้น ร่างกายมนุษย์มีรูทวารหนักเสมือนประตูแห่งดินก็จะเปิดเช่นกัน (ลำไส้ใหญ่พร้อมจะบีบตัว เพื่อขับของเสียที่ผ่านการทำลายของตับมาแล้ว ขจัดออกจากร่างกายทางการขับอุจจาระและปัสสาวะ)

วัฏจักรของการทำงานรอบใหม่ ความจริงเริ่มต้นตั้งแต่ช่วง 03.00-05.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่พลังร่างกายกำลังผันแปรจากการสะสมที่หยุดนิ่ง สู่การเคลื่อนไหวกระจายพลังไปยังอวัยวะต่างๆ ซึ่งตรงกับการทำงานของอวัยวะปอดนั่นเอง

การตื่นสายโดยเฉพาะหลัง 09.00 น. จนถึงเที่ยงหรือบ่าย บางคนเข้าใจผิด มองว่าทำให้มีการพักผ่อนเต็มที่ชดเชยการพักผ่อนไม่เพียงพอในวันก่อนๆ ไม่ต้องกินอาหารมื้อเช้า เท่ากับเป็นการลดน้ำหนักไปในตัว ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดอย่างมาก

**** ผลเสียอะไรที่จะตามมา ถ้านอนดึก และตื่นสายมากๆ
ความเข้าใจผิดข้อหนึ่งของคนทั่วไปคือ คิดว่าการนอนหลับสามารถชดเชยได้ ด้วยการนอนให้พอ 8-10 ชั่วโมง เช่น ถ้านอนดึกมากก็ตื่นสายๆ เป็นการนอนชดเชย ถ้ากลางคืนไม่นอนก็นอนกลางวันทดแทนได้

คัมภีร์ "หวงตี้เน่ยจิง" ซึ่งเป็นคัมภีร์ทางการแพทย์กว่า 2,400 ปี มีเนื้อหาสำคัญเกี่ยวกับการรักษาเมื่อไม่เกิดโรค หรือการดูแลสุขภาพ เพื่อไม่ให้เกิดโรค ได้อธิบายและชี้แนะถึงวิถีแห่งธรรมชาติ ว่า การดำเนินชีวิตจะต้องสอดรับมีจังหวะที่สอดคล้องกัน เป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพและป้องกันไม่ให้เกิดโรค และหนทางสู่การมีอายุที่ยืนยาวปราศจากโรค

การตื่นสายโดยเฉพาะหลัง 09.00 น. ถึงเที่ยงหรือบ่าย จะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ดังนี้

..... 1.ขาดการกินอาหารมื้อเช้า ซึ่งเป็นอาหารมื้อหลัก
อาหารมื้อเช้ามีความสำคัญที่สุด ด้านหนึ่งพลังลมปราณของกระเพาะอาหารสูงสุด อาหารมื้อเช้าสามารถย่อยและดูดซึมได้ดีที่สุด และจะส่งต่อไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในเวลาถัดมาเป็นกระบวนการต่อเนื่อง

ถ้าเปรียบร่างกายเป็นเสมือนโรงงานผลิตสินค้า การพัฒนาเติบโตของกิจการไปข้างหน้าของโรงงานต้องอาศัยการป้อนวัตถุดิบ และผ่านกระบวนการผลิตจนได้สินค้าออกจำหน่าย เพื่อเกิดรายได้มาหล่อเลี้ยงคนงาน และทุกภาคส่วนของโรงงาน

กระเพาะอาหาร คือ เครื่องจักรในการรับวัตถุดิบ เพื่อนำไปแปรสภาพเป็นทุกๆ อย่าง ทุกแผนกของโรงงาน ถ้าถึงเวลาที่เครื่องจักรเริ่มทำงานแล้ว ไม่มีวัตถุดิบป้อนเข้าไปก็จะกระทบกับแผนกงานต่างๆ กระทั่งรายได้ของโรงงาน และความดำรงอยู่ของโรงงาน นานๆ เข้าก็คือโรงงานจะอยู่ไม่ได้

แพทย์แผนจีนให้ความสำคัญระบบกระเพาะอาหารและม้าม คือ แหล่งทุนที่สำคัญที่สุดในการสะสมทุน (สารจิง) ทุกคนมีทุนสะสมจากพ่อแม่เรียกว่า จิงของไต แต่ทุนเหล่านี้บางคนอาจได้รับมามาก บางคนรับมาน้อยไม่เท่ากัน จิงจากการแปรเปลี่ยนจากอาหารโดยการทำงานของกระเพาะอาหารและม้าม คือทุนภายหลังที่จะมาเติมเต็มหรือเสริมจิงเดิม (ทุนเดิม) ที่มาจากพ่อแม่

ลองคิดดูหากช่วงเวลา 07.00-09.00 น. ไม่กินอาหาร ในที่สุดกระบวนการสะสมทุน (สารจิง) ในร่างกายก็จะน้อยลง ช่วงนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุด หรือเหมาะสมที่สุดในการสะสมทุกให้กับร่างกายด้วยการกินอาหาร

การกินอาหารในช่วงเวลานี้ ร่างกายนอกจากจะย่อยดูดซึมดีแล้ว ยังส่งไปหล่อเลี้ยงเครื่องจักรหรืออวัยวะต่างๆ ให้ทำงานได้ดีด้วย พลังงานที่ใช้เงินทุนหมุนเวียน หรือสภาพคล่องก็จะดี อาหารตกค้างหรือสะสมจึงมีน้อยและโอกาสที่ทำให้เกิดโรคอ้วนก็มีน้อยเช่นกัน

ในทางตรงข้ามถ้าไปกินมื้อดึกเป็นมื้อหนัก โดยเฉพาะหลังเที่ยงคืน ด้านหนึ่งร่างกายจะย่อยดูดซึมอาหารไม่ดี อีกด้านหนึ่งอวัยวะต่างๆ ต้องการพักผ่อนไม่ต้องการพลังงานจึงเกิดการตกค้างของอาหาร และพลังที่เหลือใช้ก็จะถูกสะสมในร่างกาย เป็นความชื้น เสมหะ หรือไขมันใต้ผิวหนังนำมาซึ่งโรคอ้วน

โบราณกล่าวว่า "ม้าไม่กินหญ้ากลางคืน...ไม่อ้วน"

..... 2.ช่วงเช้าเป็นช่วงที่บรรยากาศเป็นพิษมากที่สุด โดยเฉพาะในห้องนอน

เนื่องจากห้องปิดทึบ ผ่านอากาศที่เย็นเป็นภาวะยิน ทุกอย่างเก็บสะสมรวมตัวสู่เบื้องล่าง ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นมลพิษ ช่วงเช้าต้องปล่อยให้แสงอาทิตย์ส่องเข้าไปทำลาย และเปิดหน้าต่างระบายมลพิษต่าง ๆ ออกจากห้องนอน การนอนหมกอยู่ในห้องนอนที่มีมลพิษช่วงเช้า จะทำให้เกิดภาวะภูมิแพ้ ไอ แพ้อากาศ และเกิดการสะสมมลพิษจากการหายใจได้มาก ยิ่งถ้าห้องนอนสกปรก เหม็นอับ อากาศถ่ายเทไม่ดี แสงแดดเข้าไปถึง ทำให้เกิดอาการไม่สบายบ่อยๆ

ที่กล่าวมานี้เป็นเหตุผลบางประการที่นำมาเล่าสู่กันฟัง พฤติกรรมแบบนี้ของเด็กสมัยใหม่เป็นกันแทบทุกบ้านจนเป็นปัญหาของคุณพ่อคุณแม่ ส่วนเด็กทั้งหลาย ยามที่ไม่ประสบกับปัญหาสุขภาพ พวกเขาจะยังไม่เข้าใจและยอมรับฟังสักเท่าไร เพราะเพื่อน ๆ ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น

..... 3.คนที่ทำงานมากจนถึงดึกดื่น ควรจะทำอย่างไร
แนะนำให้นอนก่อนเพื่อเก็บพลัง แล้วตื่นนอนแต่เช้ามาทำงาน สมองจะปลอดโปร่งกว่า คนบางคนกินกาแฟกระตุ้นในช่วงกลางคืน ทำให้ตาสว่างทำงานได้ถึงตี 3-4 หารู้ไม่ว่าเวลาดังกล่าวพลังหยางถูกนำมาใช้ ทั้งๆ ที่ยังเก็บสะสมได้ไม่เพียงพอหรือยังไม่ได้สะสมเลย แน่นอนระยะยาวร่างกายต้องเสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว

ปัญหาเรื่องนี้ เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ คนเราพยายามเรียนหาความรู้มากมายใส่ตัว เพื่อความเป็นเลิศ แต่ต้องพึงสำนึกว่า แม้จะเก่งยอดเยี่ยมสักปานใด แต่ถ้าสุขภาพไม่ดี หรือมีปัญหาสุขภาพแล้ว เราจะรู้สึกเสียใจและเสียดาย เพราะเวลาที่ผ่านมาในอดีต เราได้ทำลายตัวเราเองตลอด ถึงตอนนั้น เงินทองที่หามาได้ อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาสุขภาพที่เสียหายไปมากแล้วกลับคืนมาได้

ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของหมอชาวบ้านกับเว็บไซต์วิชาการดอทคอม
โดย  นพ.ภาสกิจ (วิทวัส) วัณนาวิบูล
doctor.or.th

#clubคนรักสุขภาพ
-----------------------------------------------------------
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของclubคนรักสุขภาพทางlineได้ที่ลิ้งด้านล่างนะจ๊ะ😙😙😙
จิ้มเบาๆนะจ๊ะ >>http://line.me/ti/p/%40clubthehealth

Wednesday, December 23, 2015

8 อาหารที่ไม่ควรอุ่น จะทำให้อาหารเป็นพิษ

ข้อมูลจากสำนักงานมาตรฐานอาหาร เผยว่า การจะรับประทานให้ปลอดภัยจะต้องทำให้สุก สะอาด ปรุงแต่งน้อย และหลีกเลี่ยงการปนเปื้อน ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือ การปรุงอาหารให้สุกก่อนรับประทานเสมอ เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อาจเป็นอันตราย แต่การให้ความร้อนแก่อาหารมากกว่า 1 ครั้ง หรืออุ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาจทำให้อาหารเป็นพิษได้ โดยเฉพาะอาหารดังต่อไปนี้

1.คื่นช่ายหรือคื่นฉ่าย หากนำมาทำเป็นซุปเซเลอรีแล้วนำไปอุ่นซ้ำ จะทำให้สารไนเตรทที่อยู่ในคื่นช่ายกลายเป็นพิษเมื่อได้รับความร้อน

2.ไข่ต้มและไข่กวน อาหารที่มีไข่เป็นส่วนประกอบสามารถนำมาอุ่นซ้ำได้ไม่มีปัญหา แต่สำหรับไข่ต้มและไข่กวนที่ได้รับความร้อนซ้ำๆ จะทำให้โปรตีนในไข่เปลี่ยนสภาพ อาจส่งผลให้ผู้รับประทานไม่สบายได้

3.ผักโขม เช่นเดียวกับคื่นช่าย หากได้รับความร้อนซ้ำจะทำให้สารไนเตรทกลายเป็นพิษ ทั้งยังมีคุณสมบัติเป็นสารก่อมะเร็งได้อีกด้วย

4.เห็ด เห็ดไม่มีพิษทุกชนิดสามารถนำมาประกอบอาหารได้ แต่ไม่ควรนำมาอุ่นซ้ำๆ เพราะจะทำให้สารอาหารประเภทโปรตีนในเห็ดเสื่อมสภาพ ก่อให้เกิดอันตรายต่อกระเพาะอาหาร

5.มันฝรั่ง หลังจากทำให้สุก แล้วตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องหรือเก็บในตู้เย็น สภาวะเช่นนี้เป็นผลบวกต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโบทูลินัม หากได้รับความร้อนซ้ำก็จะทำให้เกิดเป็นพิษได้

6.เนื้อไก่ การนำเนื้อไก่สุกแช่เย็นไปให้ความร้อนซ้ำ จะทำให้โปรตีนที่ซับซ้อนในเนื้อไก่แปรสภาพ อาจทำให้บางคนที่รับประทานเข้าไปเกิดปัญหาในระบบทางเดินอาหาร

7.บีทรูท ผักสีม่วงสวยนี้ประกอบไปด้วยสารประเภทไนเตรท หากได้รับความร้อนจะทำให้เกิดเป็นพิษกับผู้ที่รับประทาน จึงควรที่จะทำให้สุกแล้วรับประทานแบบเย็นๆ เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงต่ออาการปวดท้อง

8.ข้าว สำหรับข้าวนั้น อันที่จริงแล้วการอุ่นข้าวไม่ได้ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษโดยตรง แต่มันขึ้นอยู่กับการเก็บข้าวสารว่าสะอาดปลอดภัยหรือไม่ หากข้าวสารมีสปอร์ของเชื้อแบคทีเรีย เมื่อหุงสุกแล้วเชื้อก็ยังไม่ตาย และจะสามารถเจริญเติบโตได้ถ้าถูกทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง เมื่อนำไปอุ่นซ้ำก็จะก่อเกิดสารพิษที่ทำให้อาเจียนหรือท้องเสียได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจึงไม่ควรวางข้าวสุกที่ทานไม่หมดทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง