Saturday, March 5, 2011

อันตรายจากการกินกุ้งร่วมกับวิตามินซี


วันนี้ได้้รับ forward mail อีกแล้วค่ะ คราวนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการกินกุ้งร่วมกับวิตามินซี แล้วทำให้เกิดสารหนู ที่คร่าชีวิตของเราได้  ตอนแรกที่อ่านแล้วก็ตกใจ เพราะปรกติตัวเองเป็นคนชอบกินกุ้งมากถึงมากที่สุด และวิตามินซีก็เป็นอะไรที่กินประจำด้วย โดยเฉพาะเวลาที่รู้สึกเป็นไข้ ไม่สบาย ก็ได้วิตามินซีนี่แหละค่ะ ที่ช่วยให้เราบรรเทาจากอาการไข้ตัวร้อนได้ โดยไม่ต้องพึงยาเคมีจากหมอ

เรื่องเล่ามีอยู่ว่า
"คนที่ชอบกินกุ้ง เสียเวลาอ่านนิดนึ่งนะค่ะ จะได้ทราบถึงอันตรายจากการกินกุ้ง ที่อาจคราชีวิตของเราได้... ถ้าไม่รู้เรื่องนี้...มาก่อน  ที่ประเทศไต้หวัน มีหญิงผู้หนึ่งเลือดออกทางทวารทั้ง 7 โดยไม่รู้สาเหตุ และเสียชีวิตในข้ามคืนเดียว จากการชันสูตรศพเบื้องต้น พบว่าผู้ตายเสียชีวิตเพราะ "สารหนู"  แล้วสารหนูมาจากไหนกันล่ะ นี่เป็นการฆาตกรรมอย่างนั้นหรือ ... เปล่าเลย  ตำรวจเริ่มสืบสวนในวงกว้าง และเชิญศาสตราจารย์นิติเวชมาร่วมคลี่คลายคดี  ศาสตราจารย์ตรวจวิเคราะห์สิ่งตกค้างในกระเพาะ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เปิดเผยสาเหตุของการตายฉับพลันนี้ " ผู้ตายไม่ได้ฆ่าตัวตาย และไม่ได้ถูกฆาตกรรม แต่ตายเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์" ศาสตราจารย์ฟันธง  ผู้คนงงเป็นไก่ตาแตก แล้วสารหนูมาจากไหน??? ศาสตราจารย์กล่าวว่า สารหนูเกิดในกระเพาะผู้ตาย ผู้ตายกินวิตามินซีทุกวัน นี่ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่เธอกินกุ้งจำนวนมากในมื้อเย็น กินกุ้งโดยลำพังก็ไม่มีปัญหา คนในบ้านกินกันก็ไม่เห็นเป็นไร แต่ผู้ตายกินวิตามินซีพร้อมกันด้วย ปัญหาจึงเกิดตรงนี้แหละ  นักวิจัยมหาวิทยาลัยชิคาโกเคยทำการทดลอง พบว่าสัตว์เปลือกอ่อนเช่นกุ้งมีสารประกอบอาเซนิกเข้มข้นในปริมาณสูง สารประกอบชนิดนี้เข้าไปอยู่ในร่างกายก็ไม่มีพิษภัยอะไร แต่เมื่อรับประทานพร้อมกับวิตามินซี ก็จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมี ทำให้สารประกอบเดิมที่มีสูตรเคมี As2O5 หรืออาเซนิกออกไซด์ซึ่งไม่มีพิษ กลายเป็นสารประกอบที่มีสูตรเคมี As2O3 หรืออาเซนิกไตรออกไซด์ซึ่งมีพิษ หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าสารหนูนั้นเอง  พิษสารหนูจะทำให้การทำงานของเส้นโลหิตฝอยและเอนไซม์ของซัลฟีดรีลขัดข้อง เกิดอาการเลือดคั่งในหัวใจ ตับ ไต และลำไส้ เซลล์ผิวหนังตายด้าน เส้นโลหิตฝอยขยายตัว ดังนั้น ผู้ที่รับพิษจนตาย จะมีเลือดออกทางทวารทั้งเจ็ด  ดังนั้น ถ้าเรารับประทานวิตามินซีอยู่ เพื่อความไม่ประมาท ก็ควรต้องงดทานอาหารประเภทกุ้ง"

แต่ช้าก่อน อย่าเพิ่งเชื่อสิ่งที่อ่าน ...

น้ำใจไปค้นคว้ามาค่ะ (ด้วยความเป็นคนชอบกินกุ้ง  เรื่องอะไรจะยอมอดกินกุ้งง่ายๆ เพียงเพราะข้อความ forward mail อันนี้)

ข่าวจากที่นี่ดอทคอมพาดหัวข้อว่า "มหิดลชี้อีเมล์สยอง 'ห้ามกินกุ้ง พร้อมวิตามินซี' หลอกลวง"
(ความหวังของคนชอบกินกุ้งเกิดขึ้นแล้ว :P)

เนื้อข่าวมีดังนี้ว่า ...

นักท่องเว็บตื่นอีเมล์ลูกโซ่สยอง อ้างหญิงไต้หวันเลือดออกทั่วตัวจนตาย เพราะชอบกินกุ้งพร้อมวิตามินซี เว็บบอร์ดหลายแห่งนำมาโพสต์ว่าห้ามกินกุ้งเพราะมีสารหนูผสม สร้างความหวาดวิตกให้ผู้บริโภค ด้านผอ.สถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล ชี้เป็นอีเมลหลอกลวง ไม่มีข้อมูลวิทยาศาสตร์ยืนยัน ชี้กินกุ้งพร้อมวิตามินซีปลอดภัยไม่กลายพิษเป็นสารหนู

          ปัจจุบันข้อมูลความรู้ด้านต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ ได้ถูกส่งผ่านทางอีเมลไปยังผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเกือบ 10 ล้านคนทั่วประเทศไทย ขณะเดียวกันก็มีอีเมลหลอกลวงที่เขียนขึ้นมาเพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่น แล้วส่งต่อกันไปเป็นลูกโซ่ให้คนอื่นๆ จนสร้างความตื่นตระหนกให้ผู้อ่านที่หลงเชื่อว่าเป็นข้อเท็จจริง ล่าสุดอีเมล์ฉบับหนึ่งจากไต้หวันถูกนำเผยแพร่ผ่านเว็บบอร์ดหลายแห่ง โดยเนื้อความกล่าวอ้างว่า มีผู้หญิงไต้หวันตายเนื่องจากชอบกินกุ้งพร้อมวิตามินซี สร้างความวิตกกังวลให้ผู้อ่านที่หลงเชื่ออีเมลฉบับนี้ ทั้งนี้ "คม ชัด ลึก" ได้สอบถามไปยังนักวิชาการด้านโภชนาการจากมหาวิทยาลัยมหิดล จนได้รับการยืนยันว่าเป็นเพียงข้อมูลเท็จ

          ผู้สื่อข่าวคมชัด ลึก ได้รับการร้องเรียนจากกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตว่า ขณะนี้มีการส่งต่ออีเมลลูกโซ่ที่อ้างว่า ผู้หญิงไต้หวันคนหนึ่งเสียชีวิตอย่างลึกลับจากเลือดออกทั่วร่างกาย โดยผู้เชี่ยวชาญพบว่าเกิดจากชอบกินกุ้งพร้อมวิตามินซี สารเคมีของกุ้งกับวิตามินซีจะทำปฏิกิริยากันจนกลายเป็นพิษสารหนูสะสมในร่างกาย จึงขอเตือนให้ผู้ได้รับอีเมลฉบับนี้อย่ารับประทานวิตามินซีพร้อมกุ้ง ซึ่งข้อความในอีเมลดังกล่าวมีการอ้างถึงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จนน่าเชื่อถือ ทำให้ผู้อ่านจำนวนมากวิตกกังวลกับการกินวิตามินซี โดยสรุปข้อความส่วนหนึ่งได้ดังนี้

          ที่ไต้หวันมีหญิงคนหนึ่งเลือดออกทางทวารทั้งเจ็ดโดยไม่รู้สาเหตุเสียชีวิตในช่วงข้ามคืน จากการชันสูตรศพเบื้องต้น ลงความเห็นว่าตายเพราะพิษสารหนู ตำรวจเริ่มสืบสวนและเชิญศาสตราจารย์นิติเวชมาร่วมคลี่คลายคดี เมื่อตรวจวิเคราะห์สิ่งตกค้างในกระเพาะไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เปิดโปงสาเหตุการตายฉับพลันว่า พบสารหนูในกระเพาะอาหารผู้ตาย เนื่องจากผู้ตายกินวิตามินซีทุกวัน พร้อมกับมีนิสัยชอบกินกุ้งจำนวนมากในมื้อเย็น

          ในอีเมล์ดังกล่าวยังระบุอีกว่า นักวิจัยมหาวิทยาลัยชิคาโกเคยทดลอง พบว่าสัตว์เปลือกอ่อนเช่น กุ้ง มีสารประกอบอาเซนิกเข้มข้นในปริมาณสูง สารประกอบชนิดนี้เข้าไปอยู่ในร่างกายก็ไม่มีพิษภัยอะไร แต่เมื่อรับประทานวิตามินซีพร้อมกัน จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมี ทำให้สารประกอบเดิมที่มีสูตรเคมี As2O5 หรืออาเซนิกออกไซด์ซึ่งไม่มีพิษ กลายเป็นสารประกอบที่มีสูตรเคมี As2O3 หรืออาเซนิกไตรออกไซด์ ซึ่งมีพิษหรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าสารหนูนั่นเอง พิษสารหนูจะทำให้เกิดอาการเลือดคั่งในหัวใจตับ ไต และลำไส้ เซลล์ผิวหนังตายด้าน เส้นโลหิตฝอยขยายตัว ดังนั้นผู้ที่รับพิษจนตาย จะมีเลือดออกทางทวารทั้งเจ็ด เพราะฉะนั้นในระยะที่รับประทานวิตามินซีต้องงดกินอาหารประเภทกุ้งเพื่อความไม่ประมาท

          จากข้อความดังกล่าว"คม ชัด ลึก" สอบถามไปยัง รศ.ดร.เอมอร วสันตวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อยืนยันข้อเท็จจริง รศ.ดร.เอมอร กล่าวว่า เมื่อประมาณสัปดาห์ที่ผ่านมา มีสื่อมวลชนหลายแขนงสอบถามข้อเท็จจริงเรื่องปฏิกิริยาทางเคมีระหว่างกุ้งกับวิตามินซีว่า เป็นไปตามที่อีเมลสยองฉบับข้างต้นกล่าวอ้างจริงหรือไม่ซึ่งก็ได้ค้นข้อมูลรายงานการวิจัยและรายงานวิชาการจากองค์กรอนามัยโลก (ฮู) ปรากฏว่าไม่พบรายงานหรือข้อมูลอ้างอิงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เชื่อมโยงระหว่างปฏิกิริยาทางเคมีของการกินกุ้งกับวิตามินซีแต่อย่างใด และเมื่อปรึกษาไปยังผู้เชี่ยวชาญเรื่องพิษจากอาหาร ก็ได้รับการยืนยันว่าไม่มีข้อมูลทางวิชาการที่อ้างถึงเรื่องนี้มาก่อน

          ผอ.สถาบันวิจัยโภชนาการกล่าวต่อว่า เมื่อได้อ่านอีเมล์สยองดังกล่าวอย่างละเอียดก็พบจุดน่าสงสัย 4 ประการคือ 
1. ไม่มีชื่อหญิงชาวไต้หวันที่เสียชีวิต 
2. ไม่มีชื่อและสถาบันของผู้เชี่ยวชาญทางนิติเวช 
3. ไม่มีชื่อนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโก และ
4. มีการอ้างปฏิกิริยาเคมีที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ทำให้เชื่อว่าเป็นเพียงอีเมลหลอกลวงที่เขียนขึ้น โดยอ้างหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือเท่านั้นเอง 

          นอกจากนี้ตามข้อเท็จจริงสัตว์ทะเลประเภทกุ้งจะมีสารประกอบอาเซนิกอยู่จริงแต่น้อยมาก และเป็นฟอร์มหรือรูปแบบที่ไม่เป็นพิษต่อร่างกายคน นอกจากนี้ยังไม่เคยพบว่าสารประกอบวิตามินซีไปทำปฏิกิริยาทางเคมีกับสารอาหารใดในร่างกายคน

          อีเมล์หลอกลวงนี้อ่านแล้วดูขลังและน่าเชื่อถือ เพราะมีอ้างสูตรเคมีแบบวิทยาศาสตร์และอ้างตำแหน่งศาสตราจารย์ และผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่ไม่มีการเขียนชื่อจริงเลย ยิ่งไปกว่านั้น สูตรเคมีที่อ้างว่าเป็นสารหนูหรืออาเซนิกไตรออกไซด์ ก็เป็นสูตรเคมีของสารหนูจริง แต่ไม่ได้เกิดจากการผสมระหว่างวิตามินซีกับการกินกุ้ง ส่วนใหญ่คนกินอาหารทะเลแล้วเกิดอาหารเป็นพิษร้ายแรง ก็จะเกิดจากสัตว์ทะเลตัวนั้นมาจากแหล่งน้ำที่สกปรก แล้วเกิดสะสมสารพิษในตัวมัน เมื่อคนกินเข้าไปร่างกายจึงได้รับความผิดปกติ และหากพิษแรงมากร่างกายก็จะขับออกมาโดยการอาเจียนทันที สรุปคืออีเมลฉบับนี้เป็นการหลอกลวง เพื่อให้คนอ่านตื่นตระหนก ไม่มีข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์เลย รศ.ดร.เอมอร กล่าวอธิบาย

          เช่นเดียวกับศ.ดร.ทรงศักดิ์ ศรีอนุชาติ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องพิษจากอาหาร อดีตผู้อำนวยการสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวยืนยันว่า ไม่เคยมีงานวิชาการที่กล่าวถึงการทำปฏิกิริยาทางเคมีระหว่างสารอาเซนิกในกุ้งกับวิตามินซี ซึ่งที่จริงแล้ว "อาเซนิก(Arsenic)" คือสารประกอบที่เรียกว่าสารหนู ส่วน "อาเซนิกไตรออกไซด์(Arsenic Trioxide)" เป็นสารหนูที่มีส่วนผสมของออกซิเจน3 ส่วน เรียกทั่วไปว่ายาฆ่าแมลง ถ้าจะฆ่าคนก็ต้องนำอาเซนิกไตรออกไซด์มาผสมกับอาหารหรือใส่ไปในกุ้งเพื่อให้เกิดพิษกับร่างกายอย่างฉับพลัน

          แม้ในกุ้งจะมีสารอาเซนิกประกอบอยู่จริงแต่ก็น้อยมากจนไม่มีพิษและจะสลายไปในกระเพาะอาหาร ส่วนวิตามินซีนั้นจะถูกดูดซึมในกระเพาะอาหาร และขับออกมากับปัสสาวะ หากร่างกายได้วิตามินซีมากผิดปกติ ในระยะยาวจะเกิดการสะสมเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ แต่ไม่ได้ไปทำปฏิกิริยาเคมีกับสารอื่นจนทำให้เสียชีวิต

          นอกจากนี้ในเว็บบอร์ดทางการแพทย์หลายแห่งและเว็บบอร์ดชื่อดัง "พันทิปดอทคอม" ก็มีผู้มาแสดงความเห็นต่ออีเมล์สยองฉบับข้างต้นว่า เป็นอีเมลหลอกลวงที่เคยแพร่หลายในไต้หวันเมื่อ 6 ปีที่แล้ว แล้วก็เงียบหายไปจากอินเทอร์เน็ต จนกระทั่งถูกแปลเป็นภาษาไทย แล้วนำมาส่งต่อเป็นอีเมลลูกโซ่ จึงขอเตือนผู้บริโภคว่าอย่าหลงเชื่อ

แนะนำ 19 วิธีถนอมดวงตาอย่างง่ายๆ


ตานั้นเป็นหน้าต่างของหัวใจ เชื่อว่าหลายคนอาจเคยได้ยินคำพูดนี้ หรือถึงไม่เคยได้ยินแต่ก็คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ดวงตาเรานั้นสำคัญไฉน วันนี้น้ำใจได้รับ forward เมล์มา เป็นเรื่องเกี่ยวกับการดูแลรักษาดวงตา ให้มีสุขภาพดีอยู่กับเรานานๆ  คิดว่ามีประโยชน์ จึงนำมาใส่ในบล็อกสุขภาพซะเลย เพื่อเพื่อนๆ ที่ติดตามบล็อกของน้ำใจ จะได้สุขภาพตาที่ดีถ้วนหน้ากันจ้า

19 วิธีถนอมดวงตา

1. ปรับช่องแอร์ในรถให้ต่ำลงอย่าให้ลมเย็นพ่นเข่าตาโดยตรง เพราะลมเย็นพวกนี้จะเป็นสาเหตุให้ตาแห้ง ถ้าปล่อยไว้นานๆ กระจกตาก็อาจจะถลอกจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้

2. บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่ดีต่อสายตามากๆ และหาซื้อได้ไม่ยากเลย แค่ซื้อแยมบลูเบอร์รี่มาทาขนมปังทาน คุณ ก็จะได้รับสารอาหารแอนโธไซยาโนไซด์ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาแล้ว

3. อย่ามองข้ามมันเทศของดีราคาย่อมเยาที่พ่อค้าเขาเดินขาย วิตามินในมันเทศจะช่วยปรับสายตาของคุณให้เห็นได้ชัดในที่มืด

4. เวลาทำกับข้าวอย่าลืมใส่หัวหอมแดงลงไปด้วยเพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิทินในหอมแดงจะช่วยป้องกันต้อหินให้คุณ

5. อย่าขี้เกียจเดินเพราะผลการวิจัยบอกว่าเดินอย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 ครั้งจะช่วยลดความดันในกระบอกตา ทำให้สายตาเป็นปกติ

6. กินปลาสัปดาห์ละ 2 ครั้งเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดโอเมก้า-3 ที่จำเป็นสำหรับบำรุงสายตา

7. ลดขนมหวานๆ และอาหารมันจัด อาหารพวกนี้เกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกับสุขภาพ รวมทั้งสายตาของคุณด้วย

8. ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมใส่แว่นกันแดดเสมอเพื่อป้องกันท ั้งลม แดด ฝุ่นละออง และเชื้อโรค ที่จะแท็คทีมกันมาทำร้ายสายตาที่รักของเรา

9. ตรวจวัดความดันโลติตเป็นประจำทุกเดือน ความดันที่ผิดปกติมีผลโดยตรงต่อสายตามาก จึงไม่ควรมองข้ามการวัดความดัน ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้รักษาได้ทันท่วงที

10. สวมหมวกปีกกว้าง แว่นกันแดดอย่างเดียวอาจจะสู้กับแดดแรงมหาร้อนอย่างบ้านเราไม่ไหว หมวกปีกกว้างจึงเป็นอุปกรณ์เสริมอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ เพื่อป้องกันรังสียูวีที่อาจจะเล็ดลอดเข้ามาทางด้านบนของแว่นกันแดด

11. อย่าละเลยการทำความสะอาดดวงตาด้วยน้ำยาล้างเครื่องสำอางค์ทุกคืนเพื่อป้องกันไม่ให้มาสคาร่าที่อาจจะเหลือตกค้างอยู่เข้าไปหมักหมมอยู่ในดวงตาจนเกิดการติดเชื้อ

12. กินผักใบเขียวเป็นประจำทุกวัน ผักใบเขียวเป็นแหล่งรวมของสารลูเทอินและซีอาแซนธินที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคต้อกระจกและยิ่งซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในกระบอกตาได้ด้วย (คนที่เกลียดผักคงต้องพยายามหน่อยน่ะ)

13. ผักบีตสดๆ เป็นของขวัญชั้นดีที่จะมอบให้ดวงตาขอ งตัวเองได้ ผักชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยปกป้องหลอดเลือดในกระบอกตา ทำให้ตาคุณมีเลือดไปเลี้ยงอย่างสมบูรณ์ ทำให้ตาคุณสวยและใส

14. เลิกทานอาหารที่เค็มจัด เพราะคนที่ติดรสเค็มจะมีโอกาสเป็นโรคต้อกระจกมากกว่าคนที่ชอบอาหารรสจืด

15. หมั่นซักผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัวบ่อยๆเพื่อให้ผ้าส่วนตัวของคุณสะอาด ปราศจากเชื้อโรค ทีสำคัญไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับใคร เพราะในผ้าพวกนั้นอาจจะมีเชื้อโรคตาแดงซ่อนอยู่

16. น้ำหอมกลิ่นมะลิ วนิลลา หรือเปปเปอร์มินต์ มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบลิมบิกในสมองซึ่งจะไปกระตุ้นเซลล์รูปแท่งในจอตาอีกต่อหนึ่ง ทำให้คุณมองเห็นในที่มืดได้ชัดขึ้น แค่หยดน้ำหอมกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งไว้ที่แขนเสื้อ ก็จะมีสายตาดีขึ้นได้แล้ว ว้าว!! ง่ายจัง

17. อย่าเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินไป แม้การอ่านหนังสือก็ควรถอนสายตามองออกไปที่ไกลๆ ทุกๆ 30 นาที เพื่อพักสายตาไม่ให้เพลียหรือล้าถาวร

18.กินผัก โขมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผักชนิดนี้มีสารลูเทอิน ซึ่งจะช่วยป้องกันต้อกระจกและภาวะศูนย์กลางประสาท

19. เปลี่ยนมาสคาร่าขวดใหม่ทุกๆ 3 เดือน ทุกครั้งที่มาสคาร่าสัมผัสตาคุณ จะต้องมีความสกปรกเล็กๆน้อยๆ ติดมาด้วย เมื่อมาหมักหมมปนกันนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป มาสคาร่าขวดโปรดของคุณก็จะกลายเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคไปโดยปริยาย