ทำอย่างไรให้สุขภาพดี การออกกำลังกายช่วยเรื่องสุขภาพได้จริงหรือ การดูแลสุขภาพ นาฬิกาชีวิต ไม่อยากทานยาทำอย่างไรดี อ่านเคล็ดลับ ความรู้ดีๆ เกี่ยวกับสุขภาพได้ที่นี่
Friday, May 4, 2018
หมออินเดีย....ดีมากๆ
เมื่อช่วงวันสงกรานต์ที่ผ่านมา แม่ชีศันสนีย์ ได้เชิญคุณหมอ Jacob ซึ่งเป็นหมอประเทศอินเดีย ที่รักษาโรคต่างๆ โดยวิธีธรรมชาติบำบัด มาบรรยายให้ฟัง ซึ่งคุณหมอมีเรื่องที่น่าสนใจหลายเรื่อง
ประวัติ Dr. Jacob Vadakkanchery N.D.
Dr. Jacob เป็นคุณหมอในประเทศอินเดีย เป็นเจ้าของโรงพยาบาลธรรมชาติบำบัด อยู่ 3 แห่ง ซึ่งคุณหมอจะเน้นการรักษาให้กับคนยากจน ประมาณ 80% คุณหมอเป็นนักต่อต้าน, นักอนุรักษ์นิยม, นักพูด (อันดับหนึ่งในรัฐคาน คุณหมอใช้วิธีรักษา แบบธรรมชาติบำบัดกับตัวเองมาประมาณ 30 ปี ปัจจุบันคุณหมอแข็งแรงมาก ผู้แนะนำบอกว่า “คุณหมอสามารถว่ายน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ไป-กลับ ภายใน 15 นาทีได้”
คุณหมอเล่าให้ฟังว่า คนเราส่วนใหญ่ มักนิยมกินยาพิษ ในรูปแบบต่างๆ ดังนี้
1. ยารักษาโรค (ยาพาราเซตามอล, ยาทิปฟี้ ฯลฯ)
2. อาหารเสริม
3. อาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น McDonald. KFC, Pizza ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ร่างกาย ต้องทำงานหนักและเป็นบ่อเกิดโรคต่างๆ
คุณหมอบอกว่าร่างกายเราเป็นสิ่งที่วิเศษมาก มันสามารถเปลี่ยนแปลงอาหาร ที่เรากินเข้าไป ให้กลายเป็นสารอาหารต่างๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป และมีวิธีการกำจัดของเสียในร่างกาย ออกเป็น 5 ทางคือ
1.ทางลมหายใจ
2.ทางเหงื่อ
3.ทางปัสสาวะ
4.ทางอุจจาระ
5.ทางประจำเดือน
และร่างกายเรายังมีความวิเศษอีกอย่างคือ หากเรามีของเสียมาก ร่างกายจะกำจัดโดยแสดงออกในรูปแบบต่างๆ เช่น การเป็นหวัด คือ ร่างกายเราจะมีน้ำมูกมาชะล้างเชื้อโรคบริเวณเยื่อบุจมูก แต่คนเราส่วนใหญ่เมื่อมีการอาการเหล่านี้ ก็มักจะกินยา เพื่อรักษาอาการโรคเหล่านี้ ซึ่งความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ร่างกายเราไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคต่างๆ ได้ ทำให้โรคต่างๆ ยังคงอยู่ในร่างกายเราต่อไป
คุณหมอบอกว่าคนเราส่วนใหญ่ เวลาที่เราปวดหัว เราก็จะกินยาพารา 1 เม็ด แล้วกินน้ำตาม แต่วิธีการของคุณหมอจะแตกต่างจากคนทั่วไป คือคุณหมอจะใช้ยาพารา 2 เม็ด มาบดให้ละเอียดแล้วคลุกกับข้าว แล้วไปตั้งที่ห้องครัว 2-3 วัน เมื่อกลับมาดูอีกครั้ง คุณหมอจะพบหนูตายประมาณ 10 - 15 ตัว นี่แสดงว่า ยาพาราเซตามอลเป็นยาฆ่าหนูชนิดหนึ่ง และเมื่อเราเป็นไข้ เรากินยาพาราเซตามอล แสดงว่าเราได้กินยาพิษเข้าไปในร่างกายด้วย
ยาพิษอีกตัวหนึ่งที่คุณหมอกำชับหนักหนากับพวกเราที่นั่งฟังอยู่ก็คือ
น้ำตาลทรายขาว ที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน คุณหมอถามพวก! เราว่า เคยรู้หรือเปล่าว่าน้ำตาลทรายขาว มาจากไหน ? ทุกคนก็ตอบว่ามาจาก “ อ้อย ” ซึ่งคุณหมอบอกว่า “ ใช่ ” แต่ก่อนที่มันจะเป็นน้ำตาลทรายขาว ผู้ผลิตได้นำอ้อยที่มีประโยชน์ ไปใช้ในขบวนการผลิตเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เรียบร้อยแล้ว นำน้ำตาลส่วนที่เหลือซึ่งมีสีดำ และไม่มีประโยชน์ ไปผ่านมาฟอกสี จนกลายเป็นน้ำตาลทรายขาวที่เรากินอยู่ทุกวัน น้ำตาลทรายขาวนี้จะเข้าไปทำร้ายร่างกายเรา ตั้งแต่ลำคอ ผ่านไปกระเพาะ ลำไส้ ดังนั้นคุณหมอจึงอยากให้พวกเราทุกคน เลิกกินน้ำตาลทรายขาว และหันมากินน้ำตาลทรายแดง ซึ่งมีประโยชน์มากกว่า
คุณหมอ ถามพวกเราอีกว่า เราเคยใช้ยาสีฟัน หรือเปล่า พวกเราก็บอกว่า “ เคย ” คุณหมอบอกว่ายาสีฟัน ก็เป็นสารซักฟอก เช่นเดียวกับสบู่ที่เราใช้อาบน้ำนั้นแหละ เพราะเมื่อเราแปรงฟัน จะมีเศษของยาสีฟันตกลงไปอยู่ในท้องของเรา อาจทำให้เรามีปัญหาอาจเป็นโรคกระเพาะได้
คุณหมอบอกว่าคุณหมอใช้ใบมะม่วงหรือผงสมุนไพร ในการแปรงฟัน คุณหมอก็ใช้แปรงสีฟันธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้มาแล้ว ( นั่นก็คือนิ้วชี้ของคุณหมอ) คุณหมอแปรงฟันด้วยวิธีนี้มานาน 28 ปี แล้ว ฟันของคุณหมอยังขาว และแข็งแรงอยู่เลย
มีผู้ฟังถามคุณหมอว่า “เราควรจะบริโภคนมวัวหรือเปล่า ” คุณหมอบอกว่า “แล้วเราเป็นลูกวัวหรือเปล่าล่ะ ที่ต้องกินนมแม่ (แม่วัว) ถ้าไม่ใช่ เราก็ไม่ควรกิน มีนมอยู่อย่างเดียวที่เรากินได้ คือนมของแม่เราเอง ซึ่งเป็นนม ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเราจริงๆ นอกนั้นนมอื่นๆ นั้น ไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกายเราเลย ” คนฟังก็ถามต่อว่า “แล้วเราจะกินนมอะไรได้บ้าง หรือเปล่ากินนมแพะ ได้ไหมค่ะ” คุณหมอบอกว่า “แล้วเราเป็นลูกแพะหรือ เปล่าล่ะ ถึงจะไปกินนมแพะนะ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ควรกิน แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบระหว่างนมวัว และนมแพะ นมแพะจะมีคุณค่าสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเรามากกว่านมวัวนะ”
และมีผู้ฟังถามเรื่องโยเกิร์ต คุณหมอบอกว่ากินได้บ้าง แต่ไม่ควรจะบ่อยๆ เพราะมันก็ไม่มีประโยชน์ และไม่ดีอย่างที่เราคิดไว้
การรักษาแบบธรรมชาติบำบัดของคุณหมอ สามารถรักษาโรคได้หลายๆ โรค เช่น โรคผิวหนัง, ภูมิแพ้ต่างๆ, โรคมะเร็งบางชนิด, โรคไมเกรน ฯลฯ มีบางโรคที่รักษาให้หายขาด และ มีบางโรคที่ช่วยให้ทุเลาลงได้มาก หากใครสนใจติดต่อ เสถียรธรรมสถาน พี่สมบูรณ์ 08-4115-1114 ขอคำปรึกษาได้
วิธีการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด
สิ่งที่ควรรู้ก่อน
1. การตากแดด ควรเป็นแสงแดดช่วงเวลาก่อน 9 โมงเช้า และหลัง 4 โมงเย็น
2. น้ำมะพร้าว คือ น้ำมะพร้าวสดแต่ไม่ต้องทานเนื้อ (ไม่ใช่มะพร้าวเผา) และต้องเป็นมะพร้าวที่ยังมีเปลือกสีเขียว เนื่องจากยังไม่ผ่านมาใช้สารฟอกเปลือกให้เป็นสีขาว
3. กินผลไม้สด (ไม่ควรแช่ตู้เย็น) คือ การกินผลไม้ 2 ชนิด โดยให้มีรสชาติเดียวกัน เช่น รสชาติหวานเหมือนกันทั้ง 2 อย่าง หรือเปรี้ยวทั้ง 2 อย่าง
4. น้ำหยวกกล้วย คือการนำหยวกกล้วยที่ผ่านการมีผลมาแล้ว นำมาสับ และปั่นแล้วคั่นน้ำออกมา
5. การออกกำลังกายที่ดี คือ การเดิน, การว่ายน้ำ และการเล่นโยคะ
ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ ก่อน 8 โมงเช้า และ 5 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม และควรออกทุกวัน
การดำรงชีวิตประจำวัน
1. ตื่นนอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น หรือตื่นนอนก่อน 6 โมงเช้า
2. ดื่มน้ำมะพร้าวหรือน้ำผึ้ง
3. ไปนั่งถ่าย และแปรงฟันด้วยมือกับใบมะม่วงหรือผงสมุนไพร นวดเหงือกและฟันประมาณ 10 นาที
4. ชโลมน้ำมันงาหรือผงถั่วเขียว (แทนสบู่) ที่ศีรษะ, หน้า และร่างกาย หลังจากนั้นให้นวดศีรษะ, นวดหน้า (เป็นการนวดเป็นนวดขึ้น เพื่อทำให้หน้าตาเต่งตึง), นวดร่างกาย เช่น นวดท้อง และนวดหัวใจ พร้อมทั้งพูดคุยกับอวัยวะของตัวเอง ประมาณ 15-20 นาที แล้วนวดฝ่าเท้าประมาณ 15-20 นาที รอให้น้ำมันซึมเข้าผิว ประมาณ 15-20 นาทีแล้วค่อยล้างออก
5. กินอาหารเช้าประมาณ 8 โมง ควรเป็นผักหรือผลไม้
6. เวลาเที่ยง 12.00 น. ให้ทานอาหารมื้อหลัก
7. เวลา 6 โมงเย็น ให้หยุดกิจกรรมให้น้อยลง
8. อาหารเย็นควรเป็นผักและผลไม้ หรือน้ำผลไม้หรือน้ำมะพร้าว
9. ให้นอนประมาณ 4 ทุ่ม เนื่องจากเป็นช่วงเวลา ที่จะทำให้เราหลับง่ายที่สุด หากเลยเวลานี้ ร่างกายเราจะดึงพลังงาน แล้วทำให้เรานอนหลับยากขึ้น
การรับประทานอาหารที่ดี คือ ให้ทานผลไม้ 2 มื้อ คือมื้อเช้า และมื้อเย็น ทานอาหารหลัก 1 มื้อ คือ มื้อเที่ยง
วิธีการรักษาโรคแบบต่างๆ โดยวิธีธรรมชาติบำบัด
โรคปวดท้องประจำเดือน
วิธีรักษา วันแรกให้กินน้ำมะพร้าวและผลไม้ กินไปประมาณ 3-4 วัน ประมาณ 3 เดือน จะหายปวดท้อง และดีต่อการคลอด
โรคปวดหัว
วิธีรักษา ให้เอาน้ำเปล่าราดหัว ประมาณ 5 นาที
โรคสิว
วิธีรักษา ไม่ให้กินขนมปังเบเกอรี่, ของทอด, พวกน้ำมัน, อาหารเผ็ด, แป้งขัดสี, น้ำตาลทรายขาว ควรกินแต่ผัก, ผลไม้ และน้ำมะพร้าว
โรคปวดเมื่อย
วิธีรักษา ให้เอาผ้าเปียกมาคลุมบริเวณที่ปวดเมื่อย ประมาณ 1 ชม. (ไม่ให้เกินกว่านี้)
ผู้มีสุขภาพเรื้อรัง
วิธีรักษา 1.ให้กินน้ำหยวกกล้วยตอน 6.00 โมงเช้าประมาณ 1 เดือน หรือให้กินหยวกกล้วยสดก็ได้
2.ให้ตากแดดวันละ 1 ชม. ทั้ง เช้า 0.30 ชม.และเย็น 0.30 ชม.
โรคผิวหนัง
วิธีรักษา ใส่เสื้อผ้าที่ทำด้วยผ้าฝ้ายและไปตากแดด วันละ 2 ชม. เช้าและเย็น
โรคหัวใจ
วิธีรักษา ให้กินเจ และกินผลไม้ตอนเย็น ประมาณ 3 เดือน และไปตากแดดเช้า 1 ชม. และเย็น 1 ชม. กินน้ำเปล่า, น้ำมะพร้าว, น้ำผึ้ง หรือน้ำผลไม้ต่างๆ
โรคไมเกรน
วิธีรักษา ใช้น้ำราดศีรษะวันละ 5 ครั้ง ๆ ละ 5 นาที และกินผลไม้ทั้งวัน 3 มื้อ ประมาณ 1-2 วัน
คนสายตาสั้นหรือยาว
วิธีรักษา ให้บริหารสายตาด้วยการกรอกลูกตา
1. จากบนลงล่าง
2. จากขวาไปซ้าย
3. บนขวาไปเฉียงล่างซ้าย
4. บนซ้ายไปเฉียงล่างขวา
5. บน ซ้าย ล่าง ขวา
6. บน ขวา ล่าง ซ้าย
แล้วใช้น้ำมะพร้าวหยดตา รวมทั้งให้มองพระอาทิตย์ตอน 7 โมง และตอน 6 โมงเย็น และไม่ให้กินอาหารเย็น และให้กินผลไม้ , ผัก และน้ำมะพร้าว ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการจะดีขึ้น
โรคเหน็บชา
วิธีรักษา ไปนั่งตากแดด เช้าเย็น และกินเจ
โรคเบาหวาน
วิธีรักษา กินผักสด 1-2 เดือน และหลังจากนั้น
หากอยากกินน้ำผลไม้ก็ได้
ความดันโลหิตสูง
วิธีรักษา เอาน้ำราดศีรษะ 5 ครั้งและกินผลไม้
โรคสะเก็ดเงิน
วิธีรักษา กินผลไม้ 2-3 เดือนและตากแดด
โรคคลอเรสเตอรอส
วิธีรักษา กินผักและผลไม้
โรคกระเพาะ
วิธีรักษา กินผักและผลไม้
โรคหวัด
วิธีรักษา กินแต่ผลไม้
ท้องเสีย
วิธีรักษา กินน้ำผลไม้และน้ำมะพร้าว และพักผ่อนเยอะๆ
โรคนอนไม่หลับ
วิธีรักษา ก่อนนอนให้ราดหัว ประมาณ 10 นาที
การเตรียมตัวตั้งครรภ์และการคลอดให้ราบรื่น
1. ให้กินผลไม้ 2 มื้อและอาหารเจ 1 มื้อ
2. การตากแดด ( เช้า-เย็น)
3. รักษาจิตใจ ให้มีความสุข
จะช่วยให้เด็กแข็งแรง และไม่ปวดท้องตอนคลอด
(คุณหมอให้คนไข้ของคุณหมอในประเทศอินเดียทำอย่างนี้)
การล้างสารพิษในผักและผลไม้
ใช้น้ำผสมเกลือเล็กน้อย แช่ผัก และผลไม้ทิ้งไว้ ประมาณ 1 ชม.
Saturday, April 23, 2016
28 วิธี ทำให้อายุยืน
1.หัวเราะเสียงดัง จงหัวเราะดังๆเมื่อรับรู้เรื่องขำขัน ไม่ว่าจากการสนทนาหรือดูวิดีโอตลก การหัวเราะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งออกมา ฮอร์โมนชนิดนี้มีส่วนทำให้อายุยืน
2.มีความสุขกับการท่องเที่ยว ท่องเที่ยวไป คือกำไรชีวิต เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลก
3.กินถั่วมากเข้าไว้ จากการวิจัยพบว่าการกินถั่วประเภทถั่วลิสงครั้งละ 1 ออนซ์ 5 ครั้งต่ออาทิตย์ เป็นการตัดโอกาสไม่ให้ตายเพราะโรคหัวใจได้
4. ขี่รถคันใหญ่เข้าไว้ แทบไม่น่าเชื่อว่าคนขี่รถคันเล็กมักจะตายเร็วกว่าคนขี่รถคันใหญ่
5. งีบทุกบ่าย หลังอาหารกลางวันงีบหลับสักครึ่งชั่วโมง
6. อยู่บนภูเขาอายุยืนกว่าอยู่อยู่ชายทะเล. มีความเชื่อผิดๆมานานที่ว่าอยู่ริมทะเลอายุจะยืน แต่ผลการวิจัยพบว่าผู้มีบ้านอยู่ภูเขามีอายุยืนกว่า ดังนั้นจึงควรเที่ยวป่ามากกว่าเที่ยวทะเล
7. เล่นเกม เกมอะไรก็ได้ที่ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉย ๆ เช่น หมากรุกกับเพื่อนซี้ เรียนรู้ภาษาใหม่ หรือการท่องเที่ยว ล้วนช่วยให้อายุยืนทั้งสิ้น
8. อย่ากินอาหารย่างบ่อย. การย่างเนื้อที่ปลอดภัยต้องรอให้ถ่านมอดกลายเป็นขี้เถ้าเสียก่อนจึงปลอดภัยจากสารมะเร็ง
9. เล่นกีฬา ชนิดใดก็ได้ คนที่เคยเป็นนักกีฬามาก่อน จะมีสภาพร่างกายแข็งแรงกว่าผู้ไม่เคยเล่นกีฬามาเลย ดังนั้นจึงมักตายก่อน
10. ไปโบสถ์ หรือวัดเป็นประจำ คนที่นับถือศาสนานั้นมักมีจิตใจเยือกเย็น ความดันโลหิตต่ำ ดังนั้น จึงมีโอกาสเป็นโรคหัวใจวายน้อยกว่าผู้ที่ไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจเลย
11. เต้นรำอยู่เสมอ. ผู้ที่ชอบเต้นรำมีจิตใจเข้มแข็งมั่นคง ความจำดี และมีปฏิกิริยารวดเร็ว การเต้นรำแบบแอโรบิคได้ผลเช่นเดียวกับเต้นบอลลูม
12. เลี้ยงสัตว์ไว้เป็นเพื่อน. ผู้เลี้ยงหมา แมว ฯลฯ จะมีความดันเลือดต่ำ การมองดูปลาว่ายน้ำก็ทำให้จิตใจสงบ ความดันโลหิตต่ำ คนเลี้ยงสัตว์มักมีอายุยืนกว่าผู้ที่ไม่เลี้ยงสัตว์อะไรเลย
13. หายใจลึกๆ. การหายใจลึกๆ เอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานดีขึ้น ตลอดจนเป็นการทำลายเชื้อไวรัส และแบคทีเรียที่เข้าสู่ร่างกายให้ตายไปด้วย
14. กินผักมากเข้าไว้ โดยเฉพาะผักปลอดสารพิษ ผักมีเส้นใย มักทำให้ไม่เป็นมะเร็งในระบบย่อยอาหาร ผักบุ้งทำให้สายตาดี คนแก่ตามองไม่เห็นย่อมตายเร็วกว่าคนแก่ที่ตามองเห็น
15. รู้ประวัติครอบครัว. โรคภัยไข้เจ็บส่วนใหญ่สืบต่อทางกรรมพันธ์ุมายังลูกหลาน ดังนั้นต้องรู้ว่าบรรพบุรุษตายด้วยโรคอะไร เช่น โรคหัวใจ ก็พึงหลีกเลี่ยงโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ
16. ทำกิจกรรมนอกบ้าน. ผลการวิจัยพบว่าคนสูงอายุหมั่นออกไปยังกลางแจ้งมีอากาศบริสุทธิ์ จะมีความเครียดสะสมน้อย คนแก่ที่มีความเครียดมักจะตายเร็ว
17. อย่ากินยานอนหลับเป็นนิสัย เอะอะอะไรก็กินยาไว้ก่อนยามีประโยชน์และมีโทษไปพร้อมๆกัน การนอนไม่หลับมาจากสาเหตุเครียดหรือปัญหาอื่นๆ ควรแก้ที่ต้นเหตุนั้นๆ
18. จัดเวลานอนให้เพียงพอ และทำเป็นปกตินิสัย เช่น นอนกี่ทุ่มตื่นเช้ากี่โมง คนยิ่งสูงอายุยิ่งนอนหลับได้น้อย วิธีแก้ไขนอนหลับแต่หัวค่ำตื่นแต่เช้ามืด ไม่เป็นผลเสียต่อร่างกาย คนแก่นอนน้อยไปหรือนอนมากไปเป็นเหตุให้ตายเร็วทั้งสิ้น
19. หาเพื่อนใหม่และหมั่นแวะไปเยี่ยม. การร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ กับเพื่อนทำให้เกิดความเพลิดเพลินยิ่งเป็นกิจกรรมเป็นประโยชน์ต่อสังคม ยิ่งทำให้อายุยืนมากขึ้น
20. ดื่มได้แต่น้อย การศึกษาเรื่องแอลกอฮอล์พบว่า เป็นประโยชน์แก่ร่างกายหากดื่มสัก 1–2 จอก ก่อนกินอาหาร คนสูงอายุควรเลือกดื่มไวน์หรือเบียร์มากกว่าวิสกี้ดีกรีสูง การดื่มมากนอนน้อยคนแก่คนนั้นอายุสั้นแน่นอน
21. มีเพศสัมพันธ์ หากมีเรี่ยวแรงและอารมณ์รักอยู่ก็จงแสดงไปตามความต้องการ อย่าสะกดกลั้นเอาไว้หรือมีความต้องการแต่อวัยวะไม่สู้ ขอเพียงแค่คิดหรือมีอารมณ์ก็ทำให้จิตใจไม่ห่อเหี่ยว เช่นนี้อายุยืนแน่ ผลการวิจัยล่าสุดพบว่า คนแก่ที่มีแรงขับทางเพศมักไม่ค่อยตายเร็ว ต่างกับผู้หมดสมรรถภาพทางเพศตั้งแต่หนุ่มแน่น ล้วนตายเร็ว ก่อนวัยเพราะผู้นั้นสูญเสียสัญชาตญาณการแพร่พันธุ์ ไป
22. เดินมาก ๆ หรือหมั่นให้ร่างกายเคลื่อนไหวอยู่เสมอ อย่านอนแซ่วบนที่นอนตลอดเวลา คนแก่เดินวันละ 30 นาที อายุยืนแน่นอน
23. ตรวจสุขภาพฟันและช่องปาก โรคเหงือกโรคฟันเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ ดังนั้นหมั่นตรวจฟันและช่องปากอย่างสม่ำเสมอ
24. อย่าอ้วน คนอ้วนตายเร็วกว่าคนผอม สังเกตดูคนอายุยืนมักผอมแห้ง จำไว้ความอ้วนฆ่าคนได้
25. อย่าสูบบุหรี่ บุหรี่ทำให้อายุสั้นลงอย่างแน่นอน นอกจากไม่สูบพึงหลีกเลี่ยงพบปะกับคนสูบบุหรี่อีกด้วย
26. เพิ่มความแข็งแกร่ง คนแก่อายุเกิน 70 ปีขึ้นไป ควรแข็งใจยกน้ำหนักข้างละ 2-3 กก. 2 ครั้ง ต่อสัปดาห์
27. กินอาหารมีเส้นใยมาก ได้แก่ ธัญพืช ข้าวกล้อง ผลไม้ จากการศึกษานักโภชนาการมหาวิทยาลัย
28. ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในบ้าน เช่น การทำงานบ้าน ล้างจาน ซักผ้า ถูพื้น ดูดฝุ่น ทำสวน ตัดแต่งต้นไม้ กิจกรรมเหล่านี้ทำให้คนแก่ไม่อ้วน เมื่อไม่อ้วนก็ไม่ตายจริงมั้ย
#แชร์ต่อเป็นกุศล
Tuesday, April 19, 2016
5 วิธีคลายอาการปวดหลัง ให้หายเป็นปลิดทิ้ง
การนั่งติดต่อกันเป็นเวลานานๆ นั้นทำให้กล้ามเนื้อขาตึงและอาจจะทำให้ครึ่งล่างของหลังทนรับแรงกดมากเกินไป ทำให้ปวดหลังได้ คุณรู้ไหมว่าการเข้าฟิตเนสทั้งๆที่ปวดหลังอยู่นั้นเป็นสิ่งต้องห้ามเพราะจะยิ่งทำให้กล้ามเนื้อที่บาดเจ็บอยู่แล้วยิ่งปวดและอักเสบมากขึ้น โดยเฉพาะท่าออกกำลังกายแบบสควอซ การวิ่งจ๊อกกิ้งและยืดกล้ามเนื้อ
1. ท่าไขว้ขาเป็นเลข 4
ช่วยคลายอาการปวดหลังที่เกิดจากการนั่งนาน คลายกล้ามเนื้อที่ตึงและปวดเมื่อย
(1) นอนราบลงกับพื้น ใช้ผ้าม้วนหรือพับมารองไว้ใต้ก้นกบ ยกสะโพกขึ้นเล็กน้อย
(2) ใช้ข้อเท้าข้างซ้ายพาดไปที่หัวเข่าด้านขวา ปล่อยขาซ้ายตามสบาย
(3) ให้ขาที่พาดไว้อยู่ในท่าเดิม ค่อยๆดึงต้นเข้ามาจนเท้าซ้ายกับก้นข้างซ้ายตรงเป็นแนวเดียวกันตั้งฉากกับพื้น
(4) มือขวาสอดระหว่างช่องขาทั้งสองข้างเข้ามาประกบกับมือซ้าย ประสานไว้ที่สะโพกด้านซ้าย พยายามให้ศีรษะติดพื้นดังเดิม
(5) ค่อยๆยกสะโพกขึ้นแอ่นให้หลังช่วงใกล้สะโพกโค้งขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนซี่โครงด้านบนให้นาบอยู่กับพื้นเหมือนเดิม
(6) หายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ สลับขาข้างละ 30 วินาที
2. ยืดกล้ามเนื้อสะโพก
การนั่งเป็นเวลานาน ขี่จักรยานหรือวิ่งจ๊อกกิ้ง ทำให้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อสะโพกหรือเอวยึดตึง
(1) ร่างกายฝั่งหนึ่งพิงผนังหรือกำแพงเอาไว้ เท้าขวาเหยียบไปด้านหลัง 1 ก้าว อย่าให้ข้อเท้าแตะพื้น ค่อยๆดึงสะโพกกลับมาด้านหน้าให้หลังตรง
(2) แขนซ้ายวางไว้บนกำแพงหรือเก้าอี้ ยืดแขนขวาให้สูงเหนือศีรษะ
(3) เอียงตัวไปทางซ้าย ให้ช่วงตัวและกล้ามเนื้อฝั่งขวาได้ยืด ค้างไว้ 30 วินาที แล้วค่อยเปลี่ยนข้างทำซ้ำเหมือนเดิม
3. สลับขา
ช่วยให้ช่วงหลังยืดหยุ่นมากขึ้นและผ่อนคลายร่างกาย ความยืดหยุ่นของหลังแสดงถึง
(1) ทำท่าคลานบนแผ่นรองเล่นโยคะ โดยมือที่ยันพื้นต้องตรงกับไหล่ทั้งสองข้าง หัวเข่าตั้งตรงกับก้นให้ร่างกายขนานกับพื้น ยืดกระดูกสันหลังแอ่นสะโพกเล็กน้อย
(2) หัวเข่าทั้งสองข้างอยู่บนพื้น ยกเท้าขวาขึ้นให้สูงกว่าพื้นเล็กน้อยแล้ววางลงที่ฝั่งซ้าย หันหัวไปทางไหล่ซ้ายมองไปด้านหลัง จะรู้สึกว่ากำลังยืดกล้ามเนื้อฝั่งขวาเบาๆ
(3) หยุดสักครู่ แล้วย้ายเท้าขวากลับมาทางขวาดังเดิม มองผ่านไหล่ฝั่งขวา แล้วลองเปลี่ยนเท้าทำตามดังเดิม
4. การยืดน่องล่างและเอ็นขา
ร่างกายที่ปวดเมื่อยหรือเกร็ง จะมีการขยับร่างกายที่เป็นติดขัด ถ้าปล่อยเอาไว้นานๆ
(1) นอนราบลงบนพื้น งอเข่าทั้งสองข้าง เท้าทั้งสองข้างนาบลงกับพื้น
(2) ตูดติดพื้น หลังครึ่งล่างโก่งขึ้นเล็กน้อย ยกเท้าข้างซ้ายขึ้น ปล่อยตามสบาย ท่อนขาและลำตัวตั้งฉาก 90 องศา ถ้าไม่ปวดเมื่อยพยายามยืดเข่าให้ตรง เท้าตรงขนานกับพื้น
(3) เมื่อทำท่านี้แม้ว่าจะตัวอ่อนขนาดไหน เท้าและร่างกายใจไม่ต่ำกว่า 90 นาที
(4) ทำซ้ำ 6-8 ครั้ง ครั้งสุดท้ายให้เท้าซ้าย
5. ยืดเพื่อผ่อนคลาย
สามารถรับมือกับความดันกระดูกสันหลังเมื่อนอนขดอยู่ในเก้าอี้ เพื่อผ่อนคลายความปวดเมื่อยจากการนั่งเก้าอี้นาน ทับเส้นกระดูกสันหลัง
(1) พับผ้าเช็ดตัววางบริเวณด้านหลังหน้าอก นอนราบ ตั้งเข่าขึ้นให้ต้นขากับน่องเป็นมุม 90 องศา เท้าราบกับพื้น
(2) แขนนาบรำตัวหรือยืดขึ้นไปวางข้างศีรษะก็ได้ ข้อศอกไม่จำเป็นต้องตึง
(3) หนีบขาให้ชิด ตูดและหลังช่วงล่างติดพื้น
(4) ถ้าหากรู้สึกปวดคอให้หาหมอนหรือผ้าเช็ดตัวพับมารองไว้ที่ใต้คอ
ปล่อยร่างกายตามสบายให้รู้สึกถึงการยืดเส้น หายใจเข้าออกลึกๆ ทำค้างไว้ประมาณ 1 นาที
ขอขอบคุณข้อมูล : liekr.com
ภาพ : First Physio
Monday, April 18, 2016
สุดยอดวิธียืดอายุ 10 อวัยวะ
ที่มา : ขอขอบคุณ รศ. ดร. ภญ. อรพรรณ มาตังคสมบัติ อดีต คณบดี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
เราเคยได้ยินประโยคที่ว่า “อวัยวะของเรานั้นจะเสื่อมไปตามเวลา” แต่รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วเราสามารถยืดอายุของอวัยวะต่างๆ ให้สามารถคงการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอได้
โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ดร.โรแนน แฟคโทรา (Ronan Factora M.D.) แห่งสถาบันการแพทย์ Cleveland Clinic ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เผยเคล็ดลับสรุป 'สุดยอดวิธียืดอายุ 10 อวัยวะ' ไว้ในนิตยสาร Times รายละเอียดอยู่ในภาพแต่ละภาพ ดังนี้
1. "สมอง"
ข้อเท็จจริง : หลังจากอายุ 70 ปี จะเริ่มพบความผิดปกติที่เกิดจากการเสื่อมของเซลส์สมอง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในคราวเดียว
วิธียืดอายุ :
- นิวโรบิกส์ เอ็กเซอร์ไซส์ (Neurobics Exercise) คือ การทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือทั้ง 2 ข้าง ทำงานประสานกัน เช่น การทำสวน การเย็บผ้า การทำกับข้าว จะช่วยให้สมองทั้งซีกซ้ายและซีกขวาได้รับการกระตุ้นและทำงานไปพร้อมกันอยู่เสมอ
- รับประทานปลาทะเล ถั่วเปลือกแข็ง และธัญพืช อย่างเป็นประจำ เพราะอาหารเหล่านี้มีสารอาหารที่จำเป็นต่อการบำรุงสมอง
- ฝึกนั่งสมาธิ ใช้วิธีกำหนดรู้ลมหายใจเข้าและออก เป็นการเจริญสติก่อนนอน จะช่วยลดความเครียดและทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้นเมื่อตื่นนอนในตอนเช้า
2. "ดวงตา"
ข้อเท็จจริง : หลังจากอายุ 40 ปี ทุกๆ ปีต่อจากนี้ ดวงตา จอประสาตา และเลนส์ตาจะเสื่อมลง ในอัตราที่ไม่สม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับรูปแบบกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
วิธียืดอายุ :
- สวมแว่นกันแดด เมื่อต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นประจำ
- ผู้ที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ ควรพักสายทุกๆ 45 นาที อย่างน้อย 5-10 นาที
- งดใช้โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตก่อนนอน เพราะจะทำให้เกิดผลกระทบต่อวุ้นในตาได้
3. "หู"
ข้อเท็จจริง : หลังอายุ 60 ปี การได้ยินจะค่อยๆ ลดลงใน ทุกๆ ปี และทุกๆ 1 ใน 3 จะมีปัญหาเรื่องการได้ยินเมื่อเข้าสู่วัยนี้
วิธียืดอายุ :
- หลีกเลี่ยงการทำงานหรืออาศัยอยู่ในที่ๆ มีเสียงดัง หากจำเป็นต้องอยู่ในสถานการณ์เหล่านี้ควรใส่เครื่องป้องกัน
- งดสั่งน้ำมูกแรงๆ หรือ กลั้นจาม เพราะอาจทำให้เยื่อแก้วหูมีปัญหา
- งดการแคะหูด้วยตัวเอง เพราะขี้หูเป็นขี้ผึ้งธรรมชาติที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในหู การแคะหูทำให้เกิดการอักเสบและเยื่อแก้วหูฉีกขาดได้
4. "ปอด"
ข้อเท็จจริง : หลังอายุ 30 ปี ต่อจากนั้น ทุกๆ ปี ประสิทธิภาพการทำงานของปอดจะลดลงราวๆ ร้อยละ 1
วิธียืดอายุ:
- ว่ายน้ำ หรือ วิ่ง อย่างน้อยวันละ 45 นาที – 1 ชั่วโมง
- ใช้สมุนไพรไทยปรับธาตุ จิบยาตรีผลา ก่อนอาหารเช้า-เย็น ครั้งละ 1 แก้ว เพราะมีสรรพคุณช่วยปรับธาตุ บำรุงปอด แก้ไอ ลดเสมหะได้
- หลีกเลี่ยง ควันธูป ควันจากการประกอบอาหาร ฝุ่นขนาดเล็ก และสารเคมีอันตรายที่มีไอระเหยต่างๆ
5. "หัวใจ"
ข้อเท็จจริง : หลังอายุ 65 ปี จะเริ่มมีโอกาสเป็นโรคหัวใจ เนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจที่ลดลงสวนทางกับอัตราการหนาตัวของผนังหัวใจที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออายุ 20-30 ปี เฉลี่ยทุกๆ 10 ปี อัตราการสูบฉีดโลหิตสูงสุดจะลดลงราวร้อยละ 10
วิธียืดอายุ :
- งดอาหารหวาน มัน เค็ม รักษาความดันโลหิตและน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ว่ายน้ำ เดิน วิ่ง โยคะ ร่วมถึงการยกน้ำหนัก ช่วยให้หัวใจทำงานต่อเนื่อง กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง
- ปลูกต้นไม้ ทำกิจกรรมในสวนสาธารณะ หรือเลี้ยงสัตว์เลี้ยง ผู้ที่มีงานอดิเรกเหล่านี้ มีความเสี่ยงโรคหัวใจน้อยกว่าคนทั่วไป
6. "ไต"
ข้อเท็จจริง : หลังอายุ 50 ปี ไตจะเริ่มเสื่อมลงทีละน้อยๆ ซึ่งคุณจะไม่รู้ตัวเมื่อมันเสื่อม
วิธียืดอายุ :
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ สถาบันการแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (Institute of Medicine: IOM) ระบุว่า ผู้ชายอายุ 19 ปีขึ้นไป ต้องดื่มน้ำถึง 13 แก้วต่อวัน ขณะที่ผู้หญิงวัยเดียวกันต้องการน้ำวันละ 9 แก้ว
- งดปรุงแต่งรสชาติอาหารโดยไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็น น้ำตาล เกลือ หรือซอสต่างๆ
- ควบคุมน้ำหนักตัว และความดันโลหิตไม่ให้เกินเกณฑ์มาตรฐาน
7. "ลำไส้"
ข้อเท็จจริง : หลังอายุ 60 ปี ปุ่มเล็กๆ ที่ทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหารในลำไส้เล็กจะบางลง ร่างกายจึงดูดซึมสารอาหารได้น้อยลงตามไปด้วย
วิธียืดอายุ :
- รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ปลา ถั่ว เห็ด รวมถึงผักผลไม้ให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงอาหารทอดจะดีที่สุด
- รับประทานโยเกิร์ต 1 ถ้วยทุกวัน เสริมโปรไบโอติก (Probiotics) เพิ่มปริมาณแบคทีเรียที่จำเป็นในลำไส้
- ฝึกโยคะ ที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณส่วนของการย่อยอาหาร เช่น ท่าแมว ท่าสุนัข ท่าสามเหลี่ยม ท่าศพ จะทำให้การย่อยอาหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
8. ผิวหนัง
ข้อเท็จจริง : หลังอายุ 18 ปี ต่อจากนั้น ทุกๆ ปี คอลลาเจนและอิลาสตินในผิวหนังจะลดลงประมาณร้อยละ 1
วิธียืดอายุ :
- ทาครีมกันแดดที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติอย่างเป็นประจำ
- รับประทานถั่วเปลือกแข็ง ผลไม้ตระกูลส้มและเบอร์รี่ อย่างเป็นประจำ
- มาร์คหน้าด้วยโยเกิร์ตผสมข้าวโอ๊ต หรือ ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ เพื่อฟื้นฟูผิวหลังจากออกแดดอย่างสม่ำเสมอ
9. "กระดูก"
ข้อเท็จจริง : หลังอายุ 35 ปี ต่อจากนั้นทุกๆ ปีความหนาแน่นของมวลกระดูกจะลดลงราวร้อยละ 1 และจะมีอัตราลดลงเร็วขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน (ในเพศหญิง)
วิธียืดอายุ :
- ยกน้ำหนัก หรือ กระโดดขึ้น-ลง 20 ครั้ง วันละ 2 เซ็ต
- เพิ่มเมนูไทยๆ ที่อุดมไปด้วยแคลเซียม เช่น น้ำพริกกะปิปลาทูทอดกับผักสด อย่างน้อย 3-4 มื้อต่อสัปดาห์
- ระวังการใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์และยาลูกกลอนต่างๆ ที่มีผลทำให้กระดูกพรุน
10. "กล้ามเนื้อ"
ข้อเท็จจริง : หลังอายุ 40 ปี ต่อจากนั้นทุกๆ ปี มวลกล้ามเนื้อจะลดลงและเปลี่ยนเป็นไขมัน อัตราการเกิดนั้นไม่สม่ำเสมอขึ้นอยู่กับรูปแบบกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
วิธียืดอายุ :
- วิดพื้น สวอท และยกน้ำหนักแต่ละท่า ทำประมาณ 15 -20 ครั้ง นับเป็น 1เซ็ต ทำทุกวันอย่างน้อยครั้งละ 2 เซ็ต
- รับประทานอาหารที่มีสารแอนติออกซิแดนท์สูง เช่น ผักหลากสี ผลไม้รสเปรี้ยว รสฝาดขม ช่วยชะลอ กระบวนการเสื่อมของเซลล์ได้ อย่าลืมเสริมด้วย การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทำสมาธิ และหาโอกาสออกไปพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ เพื่อลดความเครียด (ตัวการเร่งให้เกิดกระบวนการเสื่อมของเซลล์) ก็ช่วยยืดอายุให้อวัยวะต่างๆ ได้เช่นกัน
Tuesday, April 12, 2016
ก้อนน้ำแข็งกับท้ายทอย สุขภาพดี ใน 20 นาที
และนี่คือประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากการวางก้อนน้ำแข็งลงบนท้ายทอยของคุณ
2. ช่วยควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของคุณ
3. ช่วยในการรักษาระบบย่อยอาหารของคุณ
4. ช่วยบรรเทาอาการหวัด
5. ช่วยเบาเทาอาการปวดหัว ปวดฟัน และปวดเมื่อยตามร่างกาย
6. ช่วยในการรักษาโรคทางเดินหายใจและโรคหลอดเลือดหัวใจ
7. ช่วยในการรักษาปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับต่อมไทรอยด์
8. ช่วยในเรื่องของอาการปวดประจำเดือน
9. ช่วยในเรื่องของสุขภาพจิต
ถ้าคุณไม่มีเวลาพอที่จะมานอนคว่ำหน้า 20 นาที ก็สามารถใช้ผ้าพันคอพันก้อนน้ำแข็งติดไว้กับที่ท้ายทอยของคุณก็ได้ ให้ทำแบบนี้เป็นประจำทุกวันในตอนเช้าก่อนทานอาหาร และทำตอนก่อนนอน โดยการหยุดพักเบรคการทำตอนก่อนนอนครั้งละ 2 - 3 วัน
Tuesday, October 13, 2015
10 พฤติกรรมที่ทำแล้วอายุจะสั้นลง
1.สูบบุหรี่เเละดื่มสุรา ทั้งสองสิ่งนี้ส่งผลเสียต่ออวัยวะภายในและภายนอก ปอดและตับทำงานหนัก ทำให้แก่เร็วและเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง นำไปสู่การเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
2. เสพติดรสเค็ม มีงานวิจัยพบว่าคนที่ชอบกินอาหารเค็มจะมีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่าคนที่กินอาหารรสจืด ดังนั้นควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการชอบของเค็มให้ลดน้อยลงก่อนที่จะสายเกินไป
3. นอนดึก เพราะการนอนดึกทำให้ไม่มีฮอร์โมนต้านมะเร็งหลั่งออกมาหรือหลั่งออกมาน้อยเกินไป และเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง และโรคอ้วน เนื่องจากคนนอนดึกมักจะหิวและต้องหาอะไรมารับประทาน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน
4. เครียดจัด หรือเป็นโรคเครียดเรื้อรัง เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง อีกทั้งยังบั่นทอนชีวิตในทุกมิติ ทั้งเรื่องส่วนตัว ครอบครัว และหน้าที่การงาน
5. กลั้นปัสสาวะ อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่าน้ำปัสสาวะเป็นของเสีย ยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการอั้นจะทำให้กระเพาะปัสสาวะสะสมสิ่งเน่าเสีย ส่งผลให้เกิดมะเร็ง หรือทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบได้
6. ทานของร้อนจัด เช่น ชาร้อนหรือกาแฟร้อน ถ้าไม่ระวังอาจจะไปลวกเซลล์หลอดอาหารจนอักเสบ และมีโอกาสเปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็ง ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ร้อนจัด รอให้อยู่ในระดับอุ่นๆ ก็พอ
7. ตากแดดบ่อยและนาน เสี่ยงมะเร็งผิวหนัง เพราะแสงแดดเป็นรังสีที่กระตุ้นเซลล์ให้แบ่งตัวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง กลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้นได้ วิธีป้องกันคือหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแดดที่แรงจัด ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ควรทาครีมกันแดด กางร่ม หรือใส่เสื้อผ้าปกคลุมให้มิดชิด
8.กินแต่ยา หัวใจอาจสำคัญที่สุด แต่พระเอกของร่างกายคือ “ตับ” และอะไรก็ตามที่เข้าไปในร่างกาย ตับจะต้องกำจัดของเสียออก นั่นคือสาเหตุที่ไม่อยากให้คุณรับอะไรแย่ๆ เข้าตัว ที่สำคัญกว่านั้นการรับยาแก้ปวด แก้โน่นนี่นั่นก็เป็นตัวทำลายตับโดยตรง เก็บตับไว้เถอะคิดให้มากขึ้นนิดหนึ่ง ปวดหัวมากอาจเป็นเพราะคุณไม่ได้ดื่มน้ำเลยต่างหาก เลือดก็เลยหนืด สืบฉีดเลือดไปถึงสมองไม่ได้ ลองดื่มน้ำให้เยอะขึ้นแทนการกินยาแก้ปวด
9.หักโหม ทำงานไม่มีเวลาหยุด ทำงานจนลืมป่วย (ป่วยไม่ได้ เพราะไม่มีใครดูแลต่อได้) ในที่สุดคุณก็จะป่วยจริง ที่สำคัญงานที่ได้ก็ได้ผลไม่ดี เคล็ดลับคือเมื่อรู้สึกเหนื่อยใจแทบขาด ตาลืมไม่ขึ้น ให้งีบเลย ตื่นขึ้นมาสมองจะสดชื่นคิดอะไรได้ง่าย และใช้เวลาทำงานน้อยลง Work hard ไม่เวิร์กแล้ว
10.คิดทุกเรื่อง ข้อนี้ดูเหมือนจะไม่สำคัญ เเต่อย่ามองข้ามเด็ดขาด เพราะถ้าเราเลิกคิดเรื่องเครียดๆจะทำให้จิตใจสดชื่นเเจ่มใส ทำให้คุณมีทั้งร่างกายเเละจิตใจที่ดี เลิกคิด เลิกเครียด จะทำให้คุณอายุยืนมากขึ้น