Saturday, April 23, 2016

28 วิธี ทำให้อายุยืน

1.หัวเราะเสียงดัง จงหัวเราะดังๆเมื่อรับรู้เรื่องขำขัน ไม่ว่าจากการสนทนาหรือดูวิดีโอตลก การหัวเราะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งออกมา ฮอร์โมนชนิดนี้มีส่วนทำให้อายุยืน

2.มีความสุขกับการท่องเที่ยว ท่องเที่ยวไป คือกำไรชีวิต เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลก

3.กินถั่วมากเข้าไว้ จากการวิจัยพบว่าการกินถั่วประเภทถั่วลิสงครั้งละ 1 ออนซ์ 5 ครั้งต่ออาทิตย์ เป็นการตัดโอกาสไม่ให้ตายเพราะโรคหัวใจได้

4. ขี่รถคันใหญ่เข้าไว้ แทบไม่น่าเชื่อว่าคนขี่รถคันเล็กมักจะตายเร็วกว่าคนขี่รถคันใหญ่

5. งีบทุกบ่าย หลังอาหารกลางวันงีบหลับสักครึ่งชั่วโมง

6. อยู่บนภูเขาอายุยืนกว่าอยู่อยู่ชายทะเล. มีความเชื่อผิดๆมานานที่ว่าอยู่ริมทะเลอายุจะยืน แต่ผลการวิจัยพบว่าผู้มีบ้านอยู่ภูเขามีอายุยืนกว่า ดังนั้นจึงควรเที่ยวป่ามากกว่าเที่ยวทะเล

7. เล่นเกม เกมอะไรก็ได้ที่ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉย ๆ เช่น หมากรุกกับเพื่อนซี้ เรียนรู้ภาษาใหม่ หรือการท่องเที่ยว ล้วนช่วยให้อายุยืนทั้งสิ้น

8. อย่ากินอาหารย่างบ่อย. การย่างเนื้อที่ปลอดภัยต้องรอให้ถ่านมอดกลายเป็นขี้เถ้าเสียก่อนจึงปลอดภัยจากสารมะเร็ง

9. เล่นกีฬา ชนิดใดก็ได้ คนที่เคยเป็นนักกีฬามาก่อน จะมีสภาพร่างกายแข็งแรงกว่าผู้ไม่เคยเล่นกีฬามาเลย ดังนั้นจึงมักตายก่อน

10. ไปโบสถ์ หรือวัดเป็นประจำ คนที่นับถือศาสนานั้นมักมีจิตใจเยือกเย็น ความดันโลหิตต่ำ ดังนั้น จึงมีโอกาสเป็นโรคหัวใจวายน้อยกว่าผู้ที่ไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจเลย

11. เต้นรำอยู่เสมอ. ผู้ที่ชอบเต้นรำมีจิตใจเข้มแข็งมั่นคง ความจำดี และมีปฏิกิริยารวดเร็ว การเต้นรำแบบแอโรบิคได้ผลเช่นเดียวกับเต้นบอลลูม

12. เลี้ยงสัตว์ไว้เป็นเพื่อน. ผู้เลี้ยงหมา แมว ฯลฯ จะมีความดันเลือดต่ำ การมองดูปลาว่ายน้ำก็ทำให้จิตใจสงบ ความดันโลหิตต่ำ คนเลี้ยงสัตว์มักมีอายุยืนกว่าผู้ที่ไม่เลี้ยงสัตว์อะไรเลย

13. หายใจลึกๆ. การหายใจลึกๆ เอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานดีขึ้น ตลอดจนเป็นการทำลายเชื้อไวรัส และแบคทีเรียที่เข้าสู่ร่างกายให้ตายไปด้วย

14. กินผักมากเข้าไว้ โดยเฉพาะผักปลอดสารพิษ ผักมีเส้นใย มักทำให้ไม่เป็นมะเร็งในระบบย่อยอาหาร ผักบุ้งทำให้สายตาดี คนแก่ตามองไม่เห็นย่อมตายเร็วกว่าคนแก่ที่ตามองเห็น

15. รู้ประวัติครอบครัว. โรคภัยไข้เจ็บส่วนใหญ่สืบต่อทางกรรมพันธ์ุมายังลูกหลาน ดังนั้นต้องรู้ว่าบรรพบุรุษตายด้วยโรคอะไร เช่น โรคหัวใจ ก็พึงหลีกเลี่ยงโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ

16. ทำกิจกรรมนอกบ้าน. ผลการวิจัยพบว่าคนสูงอายุหมั่นออกไปยังกลางแจ้งมีอากาศบริสุทธิ์ จะมีความเครียดสะสมน้อย คนแก่ที่มีความเครียดมักจะตายเร็ว

17. อย่ากินยานอนหลับเป็นนิสัย เอะอะอะไรก็กินยาไว้ก่อนยามีประโยชน์และมีโทษไปพร้อมๆกัน การนอนไม่หลับมาจากสาเหตุเครียดหรือปัญหาอื่นๆ ควรแก้ที่ต้นเหตุนั้นๆ

18. จัดเวลานอนให้เพียงพอ และทำเป็นปกตินิสัย เช่น นอนกี่ทุ่มตื่นเช้ากี่โมง คนยิ่งสูงอายุยิ่งนอนหลับได้น้อย วิธีแก้ไขนอนหลับแต่หัวค่ำตื่นแต่เช้ามืด ไม่เป็นผลเสียต่อร่างกาย คนแก่นอนน้อยไปหรือนอนมากไปเป็นเหตุให้ตายเร็วทั้งสิ้น

19. หาเพื่อนใหม่และหมั่นแวะไปเยี่ยม. การร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ กับเพื่อนทำให้เกิดความเพลิดเพลินยิ่งเป็นกิจกรรมเป็นประโยชน์ต่อสังคม ยิ่งทำให้อายุยืนมากขึ้น

20. ดื่มได้แต่น้อย การศึกษาเรื่องแอลกอฮอล์พบว่า เป็นประโยชน์แก่ร่างกายหากดื่มสัก 1–2 จอก ก่อนกินอาหาร คนสูงอายุควรเลือกดื่มไวน์หรือเบียร์มากกว่าวิสกี้ดีกรีสูง การดื่มมากนอนน้อยคนแก่คนนั้นอายุสั้นแน่นอน

21. มีเพศสัมพันธ์ หากมีเรี่ยวแรงและอารมณ์รักอยู่ก็จงแสดงไปตามความต้องการ อย่าสะกดกลั้นเอาไว้หรือมีความต้องการแต่อวัยวะไม่สู้ ขอเพียงแค่คิดหรือมีอารมณ์ก็ทำให้จิตใจไม่ห่อเหี่ยว เช่นนี้อายุยืนแน่ ผลการวิจัยล่าสุดพบว่า คนแก่ที่มีแรงขับทางเพศมักไม่ค่อยตายเร็ว ต่างกับผู้หมดสมรรถภาพทางเพศตั้งแต่หนุ่มแน่น ล้วนตายเร็ว ก่อนวัยเพราะผู้นั้นสูญเสียสัญชาตญาณการแพร่พันธุ์ ไป

22. เดินมาก ๆ หรือหมั่นให้ร่างกายเคลื่อนไหวอยู่เสมอ อย่านอนแซ่วบนที่นอนตลอดเวลา คนแก่เดินวันละ 30 นาที อายุยืนแน่นอน

23. ตรวจสุขภาพฟันและช่องปาก โรคเหงือกโรคฟันเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ ดังนั้นหมั่นตรวจฟันและช่องปากอย่างสม่ำเสมอ

24. อย่าอ้วน คนอ้วนตายเร็วกว่าคนผอม สังเกตดูคนอายุยืนมักผอมแห้ง จำไว้ความอ้วนฆ่าคนได้

25. อย่าสูบบุหรี่ บุหรี่ทำให้อายุสั้นลงอย่างแน่นอน นอกจากไม่สูบพึงหลีกเลี่ยงพบปะกับคนสูบบุหรี่อีกด้วย

26. เพิ่มความแข็งแกร่ง คนแก่อายุเกิน 70 ปีขึ้นไป ควรแข็งใจยกน้ำหนักข้างละ 2-3 กก. 2 ครั้ง ต่อสัปดาห์

27. กินอาหารมีเส้นใยมาก ได้แก่ ธัญพืช ข้าวกล้อง ผลไม้ จากการศึกษานักโภชนาการมหาวิทยาลัย

28. ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในบ้าน เช่น การทำงานบ้าน ล้างจาน ซักผ้า ถูพื้น ดูดฝุ่น ทำสวน ตัดแต่งต้นไม้ กิจกรรมเหล่านี้ทำให้คนแก่ไม่อ้วน เมื่อไม่อ้วนก็ไม่ตายจริงมั้ย

#แชร์ต่อเป็นกุศล

ปวดส้นเท้า....เค้าแก้กันยังไง

ผู้ที่มีปัญหาอาการปวดส้นเท้า หรือปวดบริเวณเท้า หรืออาการที่เรียกว่า รองช้ำ วิธีการรักษาส่วนมากจะไปพบแพทย์ และฉีดยา แต่หากฉีดเป็นเวลานานๆ จะทำให้เส้นเอ็นเปื่อยค่ะ

ฉะนั้นวิธีที่ดีคือ แช่น้ำอุ่นและนวดบ่อย ๆ โดยใช้แผ่นยางนวดเท้า ใส่ที่เสริมส้นเท้านิ่มๆในรองเท้า  แช่น้ำอุ่น (ประมาณ 33 – 36 องศาเซลเซียล) และเติมน้ำในอ่างเป็นระยะ ๆ เพื่อรักษาอุณหภูมิของน้ำให้คงที่ แช่น้ำอุ่น 15 – 20 นาที หลังจากการแช่น้ำอุ่น ควรให้พักประมาณ 30 นาที น่าจะดีขึ้นนะ

ศาสตร์การแพทย์จีน
นิยมใช้สมุนไพรที่มีสรรพคุณในการขจัดพิษร้อน ชื้นที่สะสมอยู่ในส้นเท้า ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้การไหลเวียนของเลือดลมในบริเวณนี้สะดุดและ ติดขัดจนเกิดอาการปวด เพื่อลดอาการอักเสบของส้นเท้า ส่วนสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการ ฟื้นฟูและกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในร่างกายโดยเฉพาะบริเวณส้นเท้าก็มีบทบาทสำคัญ ในการรักษาอาการปวดส้นเท้าเช่นกัน

แต่สำหรับผู้ที่ปวดส้นเท้าแบบจี๊ดๆ พร้อมมีอาการหายใจไม่สะดวก ปวด แน่น จุกเสียด หน้าอก เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียง่าย ขึ้นบันไั้ดชั้นสองชั้นหรือทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็รู้สึกเหนื่อย หรือลิ้นสีม่วงแดงนั้น ผู้ป่วยควรตระหนักว่าเลือดลมในร่างกายไม่ได้ติดขัดและสะดุดเฉพาะที่บริเวณส้นเท้าเท่านั้น แต่ก็ยังมีอีกหลายๆ จุดเกิดการติดขัดและสะดุดจนเลือดลมไหลเวียนไม่ สะดวกโดยเฉพาะบริเวณหัวใจ จึงควรรักษาอาการปวดส้นเท้ควบคู่กับการทำความสะอาด หลอดเลือดทั่วทั้งร่างกาย

ส่วนผู้ป่วยปวดส้นเท้าที่มีอาการวิงเวียนศีรษะ หูอื้อ ตาลาย แขนขาอ่อนแรง ปวดเมื่อยตาม ร่างกาย ขี้หลงขี้ลืม ขี้หนาว ปัสสาวะบ่อย ฯลฯ แสดงว่าไตของผู้ป่วยนั้นอ่อนแอ ไม่แข็งแรงเท่า
ที่ควร จึงควรทำการบำรุงไตไปพร้อมๆ กัน อาการปวดส้นเท้าก็จะค่อยๆ ทุเลาลงหรืออาจหายไปในที่สุด ขอแนะนำสำหรับผู้ที่มีปัญหาอาการปวดส้นเท้า หรือปวดบริเวณเท้า หรืออาการที่เรียกว่า รองช้ำ ผู้ที่มีการนี้จะปวดส้นเท้ามากเวลาตื่นนอนตอนเช้า ซึ่งเหยียบพื้นตอนตื่นนอน จะมีอาหารปวดที่เท้า หรือส้นเท้ามาก วิธีการรักษาส่วนมากจะไปพบแพทย์ และฉีดยา แต่หากฉีดเป็นเวลานานๆ จะทำให้เส้นเอ็นเปลื่อย ฉะนั้นวิธีที่ดีคือ แช่น้ำอุ่นและนวดบ่อย ๆ

ศาสตร์แผนไทยการแช่
ใช้สมุนไพรแช่น้ำสูตร
-- เถาเอ็นอ่อนแห้งบด 50 กรัม (ลดอาการปวดเมื่อย คลายเส้น) -- เถาวัลย์เปรียงแห้งและบดแล้ว 50 กรัม (ลดอาการปวดเมื่อย คลายกล้ามเนื้อ)
-- ขมิ้น ไพล ว่านนางคำ แห้งบดแล้ว อย่างละ 25 กรัม การบูร 50 กรัม (รักษาแผล ลดอาการปวดเมื่อยตามปลายประสาท แก้ลมวิงเวียน)
-- เกลือ 50 กรัม (ฆ่าเชื้อโรค ทำให้ตัวยาดูดซึมเข้าผิวหนังได้ดี)

เหยียบอิฐแดง
1. เอาอิฐแดง (อิฐก่อสร้าง) มาเผาด้วยถ่าน (หรือแก๊สก็ได้) จนอิฐร้อน
2. ซื้อหัวไชโป๊ว จากตลาด ( เป็นหัวไฃโป๊วแบบแห้งๆ) แบบเดียวที่ใช้ผัดกับไข่ หรือ ผัดไทย มาสัก 2 หัว
3. เอาหัวไชโป๊ววางบนอิฐแดงที่กำลังร้อน จะได้ยินเสียง "ฉ่า" เหมือนทอดปลา
4. เอาส้นเท้าที่ปวด วางทาบบนไชโป๊วแล้วค่อยๆคลึงส้นเท้าบนไชโป๊วไปมา จนไชโป๊วเย็น ก็ทำใหม่อีก (วิธีเดิมคือ เผาอิฐ แล้วเอาไชโป๊ววางทับ
5. ทำอย่างนี้หลายๆครั้ง รับรองหายปวดแน่นอน เพราะผมทำมาแล้วได้ผล เป็นสูตรของคนจีนครับ
6. สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ลดน้ำหนักตัวเองให้มากที่สุด
ทดลองดูได้ครับ ไม่มีอันตราย และไม่เสียค่าใช้จ่ายมาก

แช่ด้วยดีเกลือ
น้ำผสมกับดีเกลือ(หาซื้อได้ตามร้านขายยาจีน)
ผสมกับน้ำร้อน รอให้อุ่นเอาเท้าแช่ ลดอาการปวดบวมลงได้

ขอขอบคุณโดย ทางแพทย์สายพุทธ

Tuesday, April 19, 2016

เตือน “ไข่มุกในชา” พาเสี่ยงมะเร็ง

เวลากระหายคงอยากได้เครื่องดื่มเย็นๆ ดับร้อนสักแก้ว โดยเฉพาะเหล่าชานมไข่มุกที่ยั่วยวนให้เข้าไปซื้อดื่มกิน เพราะนอกจากดื่มให้ชุ่มคอแล้ว ยังมีเม็ดไข่มุกให้บริหารฟันกันหนุบหนับอีกด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่มีแต่เฉพาะชาเย็น เพราะมีเครื่องดื่มอีกหลากหลายให้เลือกไม่ว่าจะเป็น ชาเขียว โกโก้ นมเย็น หนุ่มๆ สาวๆ สมัยนี้เลยติดดื่มชาไข่มุกกันงอมแงม เพราะนอกจากความอร่อยแล้ว ยังมีให้เลือกซื้อกันแทบทุกที่ ตั้งแต่ห้างสรรพสินค้าไปจนถึงรถเข็นกันเลยทีเดียว
      
ออกตัวมาขนาดนี้ เพราะอยากจะเตือนว่าการดื่มเครื่องดื่มประเภทนี้ ไม่ได้ส่งผลดีต่อร่างกายของเราสักเท่าไหร่นัก ข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยในงานประชุมวิชาการโภชนาการแห่งชาติ ครั้งที่ 6 โดย ผศ.ดร.เรวดี จงสุวัฒน์ หัวหน้าภาควิชาโภชนาวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล และเลขาธิการสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้เครื่องดื่มประเภทชาไข่มุกกำลังได้รับความนิยมในยุโรปรวมทั้งเยอรมนี องค์การด้านสุขภาพและนักวิจัยเยอรมนีจึงได้ออกคำเตือนการบริโภคเครื่องดื่มประเภทชาไข่มุก เพราะอาจมีกรณีสำลักเม็ดไข่มุก และตรวจพบสารก่อมะเร็งปนเปื้อน
      
ก่อนหน้านั้น ผลงานวิจัยจากประเทศเยอรมนี เปิดเผยว่า หลังการสุ่มตรวจเม็ดไข่มุกในเครื่องดื่มประเภทชาไข่มุก พบว่ามีสารก่อมะเร็งเจือปนในเม็ดไข่มุก โดยองค์การด้านสุขภาพและนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโรงพยาบาลอาร์คอน(University Hospital Aachen)ของเยอรมนี ได้ออกโรงเตือนถึงการบริโภคเครื่องดื่มประเภทชาไข่มุก ซึ่งกำลังเริ่มได้รับความนิยมในประเทศแถบยุโรปรวมทั้งเยอรมนีว่า นอกจากเครื่องดื่มเหล่านี้จะเสี่ยงก่อให้เกิดอันตรายจากการสำลักเม็ดไข่มุกแล้ว ยังตรวจพบว่าเม็ดไข่มุกเคี้ยวหนึบดังกล่าวยังมีสารเคมีประเภทโพลีคลอริเนต ไบฟีนิล หรือ PCBs(Polychlorinated Biphenyls หรือ PCBs)ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งเจือปนอยู่ด้วย
      
ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลพิษวิทยาระบุว่า สารเคมีประเภทโพลีคลอริเนต ไบฟีนิล เป็นสารที่ละลายน้ำได้น้อยแต่ละลายในไขมันได้ดี และสลายตัวได้ยากในสิ่งมีชีวิต เมื่อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์แล้วจะถูกขับออกได้บ้างทางอุจจาระ และปัสสาวะ ที่เหลือจะสะสมในร่างกายทีละน้อย จนเริ่มแสดงอาการของพิษ เริ่มตั้งแต่คลื่นไส้ เหนื่อย เบื่ออาหาร เกิดตุ่มฝีที่ผิวหนัง เล็บคล้ำ ฯลฯ ไปจนถึงอาการขั้นร้ายแรง คือทำให้เกิดความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ ระบบภูมิคุ้มกัน และอาจทำให้เป็นมะเร็ง
      
นอกจากนั้น ผศ.ดร.เรวดี ยังเป็นห่วงว่า สีสวยๆ ของเครื่องดื่มนั้น ไม่ว่าจะเป็น ชาเย็น นมเย็น ชาเขียวฯ ก็อาจมีความเสี่ยงในเรื่องของการเจือปนสีผสมอาหาร ซึ่งถ้ามีสีผสมอาหารมาก ดื่มมากก็ไม่ปลอดภัยเพราะเป็นสีสังเคราะห์ แต่ขณะนี้ยังไม่พบและส่วนมากเครื่องดื่มจากชามักจะผสมสมุนไพรที่เป็นสีจากธรรมชาติมากกว่า
      
ส่วนด้านอื่นๆ นอกเหนือจากเรื่องการเจือปนของสารเคมีในเครื่องดื่มประเภทพวกชานมไข่มุกแล้วนั่นคือเรื่องของความหวาน ที่อาจส่งผลให้ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง เสี่ยงมีภาวะน้ำหนักเกินและเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน โดย ผศ.ดร.เรวดี จงสุวัฒน์ แนะว่าให้ลดปริมาณการบริโภคให้น้อยลง ควรดื่มนานๆ ครั้ง ไม่ต้องซื้อกินทุกวัน วันละหลายๆ แก้ว เพราะชาไข่มุกมีรสหวานมาก รวมถึงการดูดผ่านหลอดขนาดใหญ่ หรือหลอดจัมโบ้ อาจทำอันตรายได้เช่นกัน เมื่อดูดเข้าไปแล้วกลืนลงทันที อาจจะเกิดปัญหาไข่มุกติดค้างในระบบทางเดินหายใจได้

ส่วนต้นกำเนิดของชานมไข่มุกนั้นมาจากประเทศไต้หวัน ชื่อภาษาจีนว่า “จูเจินหน่ายฉา” แปลตามตัวว่าชานมไข่มุกนั่นเอง แต่เดิมพ่อค้าแม่ขายในตลาดสดในไต้หวันได้นำแป้งมันสำปะหลังมาทำให้ชื้น แล้วนำตะแกรงมาล่อน จนกลายเป็นเม็ดสาคูสีดำขึ้นมา แล้วก็ลองนำมาต้มสุกเพื่อใส่ไว้ในชานม พอถึงฤดูร้อนก็ทำชานมเย็น แล้วก็ใส่เม็ดสาคูนี้ลงไป จึงทำให้เกิดที่มาของเครื่องดื่มยอดฮิต
      
ชานมไข่มุกในปัจจุบัน ในไต้หวันจะมีผู้ทำเม็ดสาคูนี้เป็นแทบทุกบ้าน ต่อมาลูกหลานของพ่อค้าแม่ขายในตลาดจึงนำสาคูนี้มาทำเป็นอุตสาหกรรมส่งออกขนาดเป็นธุรกิจพันล้านไปแล้ว ส่วนคนไทยเริ่มรู้จักชานมไข่มุกหรือชาไข่มุก อย่างแพร่หลายเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว ต่อมาชานมไข่มุกเริ่มนำมาใส่ในเครื่องดื่มชนิดอื่น แทนชา เช่น นม โกโก้ กาแฟ หรือใส่เยลลี่เพิ่มเติมลงไปในเครื่องดื่มต่างๆ

โดย ASTV ผู้จัดการรายวัน

ที่มา : www.manager.co.th

5 วิธีคลายอาการปวดหลัง ให้หายเป็นปลิดทิ้ง

การนั่งติดต่อกันเป็นเวลานานๆ นั้นทำให้กล้ามเนื้อขาตึงและอาจจะทำให้ครึ่งล่างของหลังทนรับแรงกดมากเกินไป ทำให้ปวดหลังได้ คุณรู้ไหมว่าการเข้าฟิตเนสทั้งๆที่ปวดหลังอยู่นั้นเป็นสิ่งต้องห้ามเพราะจะยิ่งทำให้กล้ามเนื้อที่บาดเจ็บอยู่แล้วยิ่งปวดและอักเสบมากขึ้น โดยเฉพาะท่าออกกำลังกายแบบสควอซ การวิ่งจ๊อกกิ้งและยืดกล้ามเนื้อ

1. ท่าไขว้ขาเป็นเลข 4
ช่วยคลายอาการปวดหลังที่เกิดจากการนั่งนาน คลายกล้ามเนื้อที่ตึงและปวดเมื่อย
   (1) นอนราบลงกับพื้น ใช้ผ้าม้วนหรือพับมารองไว้ใต้ก้นกบ ยกสะโพกขึ้นเล็กน้อย
   (2) ใช้ข้อเท้าข้างซ้ายพาดไปที่หัวเข่าด้านขวา ปล่อยขาซ้ายตามสบาย
   (3) ให้ขาที่พาดไว้อยู่ในท่าเดิม ค่อยๆดึงต้นเข้ามาจนเท้าซ้ายกับก้นข้างซ้ายตรงเป็นแนวเดียวกันตั้งฉากกับพื้น
   (4) มือขวาสอดระหว่างช่องขาทั้งสองข้างเข้ามาประกบกับมือซ้าย ประสานไว้ที่สะโพกด้านซ้าย พยายามให้ศีรษะติดพื้นดังเดิม
   (5) ค่อยๆยกสะโพกขึ้นแอ่นให้หลังช่วงใกล้สะโพกโค้งขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนซี่โครงด้านบนให้นาบอยู่กับพื้นเหมือนเดิม
   (6) หายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ สลับขาข้างละ 30 วินาที

2. ยืดกล้ามเนื้อสะโพก
การนั่งเป็นเวลานาน  ขี่จักรยานหรือวิ่งจ๊อกกิ้ง ทำให้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อสะโพกหรือเอวยึดตึง
   (1) ร่างกายฝั่งหนึ่งพิงผนังหรือกำแพงเอาไว้ เท้าขวาเหยียบไปด้านหลัง 1 ก้าว อย่าให้ข้อเท้าแตะพื้น ค่อยๆดึงสะโพกกลับมาด้านหน้าให้หลังตรง
   (2) แขนซ้ายวางไว้บนกำแพงหรือเก้าอี้ ยืดแขนขวาให้สูงเหนือศีรษะ
   (3) เอียงตัวไปทางซ้าย ให้ช่วงตัวและกล้ามเนื้อฝั่งขวาได้ยืด ค้างไว้ 30 วินาที แล้วค่อยเปลี่ยนข้างทำซ้ำเหมือนเดิม

3. สลับขา
ช่วยให้ช่วงหลังยืดหยุ่นมากขึ้นและผ่อนคลายร่างกาย ความยืดหยุ่นของหลังแสดงถึง
   (1) ทำท่าคลานบนแผ่นรองเล่นโยคะ โดยมือที่ยันพื้นต้องตรงกับไหล่ทั้งสองข้าง หัวเข่าตั้งตรงกับก้นให้ร่างกายขนานกับพื้น ยืดกระดูกสันหลังแอ่นสะโพกเล็กน้อย
     (2) หัวเข่าทั้งสองข้างอยู่บนพื้น ยกเท้าขวาขึ้นให้สูงกว่าพื้นเล็กน้อยแล้ววางลงที่ฝั่งซ้าย หันหัวไปทางไหล่ซ้ายมองไปด้านหลัง จะรู้สึกว่ากำลังยืดกล้ามเนื้อฝั่งขวาเบาๆ
     (3) หยุดสักครู่ แล้วย้ายเท้าขวากลับมาทางขวาดังเดิม มองผ่านไหล่ฝั่งขวา แล้วลองเปลี่ยนเท้าทำตามดังเดิม

4. การยืดน่องล่างและเอ็นขา
ร่างกายที่ปวดเมื่อยหรือเกร็ง จะมีการขยับร่างกายที่เป็นติดขัด ถ้าปล่อยเอาไว้นานๆ
   (1) นอนราบลงบนพื้น งอเข่าทั้งสองข้าง เท้าทั้งสองข้างนาบลงกับพื้น
    (2) ตูดติดพื้น หลังครึ่งล่างโก่งขึ้นเล็กน้อย ยกเท้าข้างซ้ายขึ้น ปล่อยตามสบาย ท่อนขาและลำตัวตั้งฉาก 90 องศา ถ้าไม่ปวดเมื่อยพยายามยืดเข่าให้ตรง เท้าตรงขนานกับพื้น
    (3) เมื่อทำท่านี้แม้ว่าจะตัวอ่อนขนาดไหน เท้าและร่างกายใจไม่ต่ำกว่า 90 นาที
    (4) ทำซ้ำ 6-8 ครั้ง ครั้งสุดท้ายให้เท้าซ้าย

5. ยืดเพื่อผ่อนคลาย
    สามารถรับมือกับความดันกระดูกสันหลังเมื่อนอนขดอยู่ในเก้าอี้ เพื่อผ่อนคลายความปวดเมื่อยจากการนั่งเก้าอี้นาน ทับเส้นกระดูกสันหลัง
   (1) พับผ้าเช็ดตัววางบริเวณด้านหลังหน้าอก นอนราบ ตั้งเข่าขึ้นให้ต้นขากับน่องเป็นมุม 90  องศา เท้าราบกับพื้น
    (2) แขนนาบรำตัวหรือยืดขึ้นไปวางข้างศีรษะก็ได้ ข้อศอกไม่จำเป็นต้องตึง
    (3) หนีบขาให้ชิด ตูดและหลังช่วงล่างติดพื้น
    (4) ถ้าหากรู้สึกปวดคอให้หาหมอนหรือผ้าเช็ดตัวพับมารองไว้ที่ใต้คอ
    ปล่อยร่างกายตามสบายให้รู้สึกถึงการยืดเส้น หายใจเข้าออกลึกๆ ทำค้างไว้ประมาณ 1 นาที

ขอขอบคุณข้อมูล : liekr.com
ภาพ : First Physio

Monday, April 18, 2016

สุดยอดวิธียืดอายุ 10 อวัยวะ

ที่มา : ขอขอบคุณ รศ. ดร. ภญ. อรพรรณ มาตังคสมบัติ อดีต คณบดี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

เราเคยได้ยินประโยคที่ว่า “อวัยวะของเรานั้นจะเสื่อมไปตามเวลา” แต่รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วเราสามารถยืดอายุของอวัยวะต่างๆ ให้สามารถคงการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอได้

โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ดร.โรแนน แฟคโทรา (Ronan Factora M.D.) แห่งสถาบันการแพทย์ Cleveland Clinic ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เผยเคล็ดลับสรุป 'สุดยอดวิธียืดอายุ 10 อวัยวะ' ไว้ในนิตยสาร Times รายละเอียดอยู่ในภาพแต่ละภาพ ดังนี้

1. "สมอง"

ข้อเท็จจริง : หลังจากอายุ 70 ปี จะเริ่มพบความผิดปกติที่เกิดจากการเสื่อมของเซลส์สมอง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในคราวเดียว

วิธียืดอายุ :

- นิวโรบิกส์ เอ็กเซอร์ไซส์ (Neurobics Exercise) คือ การทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือทั้ง 2 ข้าง ทำงานประสานกัน เช่น การทำสวน การเย็บผ้า การทำกับข้าว จะช่วยให้สมองทั้งซีกซ้ายและซีกขวาได้รับการกระตุ้นและทำงานไปพร้อมกันอยู่เสมอ

- รับประทานปลาทะเล ถั่วเปลือกแข็ง และธัญพืช อย่างเป็นประจำ เพราะอาหารเหล่านี้มีสารอาหารที่จำเป็นต่อการบำรุงสมอง

- ฝึกนั่งสมาธิ ใช้วิธีกำหนดรู้ลมหายใจเข้าและออก เป็นการเจริญสติก่อนนอน จะช่วยลดความเครียดและทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้นเมื่อตื่นนอนในตอนเช้า

2. "ดวงตา"

ข้อเท็จจริง : หลังจากอายุ 40 ปี ทุกๆ ปีต่อจากนี้ ดวงตา จอประสาตา และเลนส์ตาจะเสื่อมลง ในอัตราที่ไม่สม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับรูปแบบกิจกรรมในชีวิตประจำวัน

วิธียืดอายุ :

- สวมแว่นกันแดด เมื่อต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นประจำ

- ผู้ที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ ควรพักสายทุกๆ 45 นาที อย่างน้อย 5-10 นาที

- งดใช้โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตก่อนนอน เพราะจะทำให้เกิดผลกระทบต่อวุ้นในตาได้

3. "หู"

ข้อเท็จจริง : หลังอายุ 60 ปี การได้ยินจะค่อยๆ ลดลงใน ทุกๆ ปี และทุกๆ 1 ใน 3 จะมีปัญหาเรื่องการได้ยินเมื่อเข้าสู่วัยนี้

วิธียืดอายุ :

- หลีกเลี่ยงการทำงานหรืออาศัยอยู่ในที่ๆ มีเสียงดัง หากจำเป็นต้องอยู่ในสถานการณ์เหล่านี้ควรใส่เครื่องป้องกัน

- งดสั่งน้ำมูกแรงๆ หรือ กลั้นจาม เพราะอาจทำให้เยื่อแก้วหูมีปัญหา

- งดการแคะหูด้วยตัวเอง เพราะขี้หูเป็นขี้ผึ้งธรรมชาติที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในหู การแคะหูทำให้เกิดการอักเสบและเยื่อแก้วหูฉีกขาดได้

4. "ปอด"

ข้อเท็จจริง : หลังอายุ 30 ปี ต่อจากนั้น ทุกๆ ปี ประสิทธิภาพการทำงานของปอดจะลดลงราวๆ ร้อยละ 1

วิธียืดอายุ:

- ว่ายน้ำ หรือ วิ่ง อย่างน้อยวันละ 45 นาที – 1 ชั่วโมง

- ใช้สมุนไพรไทยปรับธาตุ จิบยาตรีผลา ก่อนอาหารเช้า-เย็น ครั้งละ 1 แก้ว เพราะมีสรรพคุณช่วยปรับธาตุ บำรุงปอด แก้ไอ ลดเสมหะได้

- หลีกเลี่ยง ควันธูป ควันจากการประกอบอาหาร ฝุ่นขนาดเล็ก และสารเคมีอันตรายที่มีไอระเหยต่างๆ

5. "หัวใจ"

ข้อเท็จจริง : หลังอายุ 65 ปี จะเริ่มมีโอกาสเป็นโรคหัวใจ เนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจที่ลดลงสวนทางกับอัตราการหนาตัวของผนังหัวใจที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออายุ 20-30 ปี เฉลี่ยทุกๆ 10 ปี อัตราการสูบฉีดโลหิตสูงสุดจะลดลงราวร้อยละ 10

วิธียืดอายุ :

- งดอาหารหวาน มัน เค็ม รักษาความดันโลหิตและน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

- ว่ายน้ำ เดิน วิ่ง โยคะ ร่วมถึงการยกน้ำหนัก ช่วยให้หัวใจทำงานต่อเนื่อง กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง

- ปลูกต้นไม้ ทำกิจกรรมในสวนสาธารณะ หรือเลี้ยงสัตว์เลี้ยง ผู้ที่มีงานอดิเรกเหล่านี้ มีความเสี่ยงโรคหัวใจน้อยกว่าคนทั่วไป

6. "ไต"

ข้อเท็จจริง : หลังอายุ 50 ปี ไตจะเริ่มเสื่อมลงทีละน้อยๆ ซึ่งคุณจะไม่รู้ตัวเมื่อมันเสื่อม

วิธียืดอายุ :

- ดื่มน้ำให้เพียงพอ สถาบันการแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (Institute of Medicine: IOM) ระบุว่า ผู้ชายอายุ 19 ปีขึ้นไป ต้องดื่มน้ำถึง 13 แก้วต่อวัน ขณะที่ผู้หญิงวัยเดียวกันต้องการน้ำวันละ 9 แก้ว

- งดปรุงแต่งรสชาติอาหารโดยไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็น น้ำตาล เกลือ หรือซอสต่างๆ

- ควบคุมน้ำหนักตัว และความดันโลหิตไม่ให้เกินเกณฑ์มาตรฐาน

7. "ลำไส้"

ข้อเท็จจริง : หลังอายุ 60 ปี ปุ่มเล็กๆ ที่ทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหารในลำไส้เล็กจะบางลง ร่างกายจึงดูดซึมสารอาหารได้น้อยลงตามไปด้วย

วิธียืดอายุ :

- รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ปลา ถั่ว เห็ด รวมถึงผักผลไม้ให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงอาหารทอดจะดีที่สุด

- รับประทานโยเกิร์ต 1 ถ้วยทุกวัน เสริมโปรไบโอติก (Probiotics) เพิ่มปริมาณแบคทีเรียที่จำเป็นในลำไส้

- ฝึกโยคะ ที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณส่วนของการย่อยอาหาร เช่น ท่าแมว ท่าสุนัข ท่าสามเหลี่ยม ท่าศพ จะทำให้การย่อยอาหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

8. ผิวหนัง

ข้อเท็จจริง : หลังอายุ 18 ปี ต่อจากนั้น ทุกๆ ปี คอลลาเจนและอิลาสตินในผิวหนังจะลดลงประมาณร้อยละ 1

วิธียืดอายุ :

- ทาครีมกันแดดที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติอย่างเป็นประจำ

- รับประทานถั่วเปลือกแข็ง ผลไม้ตระกูลส้มและเบอร์รี่ อย่างเป็นประจำ

- มาร์คหน้าด้วยโยเกิร์ตผสมข้าวโอ๊ต หรือ ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ เพื่อฟื้นฟูผิวหลังจากออกแดดอย่างสม่ำเสมอ

9. "กระดูก"

ข้อเท็จจริง : หลังอายุ 35 ปี ต่อจากนั้นทุกๆ ปีความหนาแน่นของมวลกระดูกจะลดลงราวร้อยละ 1 และจะมีอัตราลดลงเร็วขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน (ในเพศหญิง)

วิธียืดอายุ :

- ยกน้ำหนัก หรือ กระโดดขึ้น-ลง 20 ครั้ง วันละ 2 เซ็ต

- เพิ่มเมนูไทยๆ ที่อุดมไปด้วยแคลเซียม เช่น น้ำพริกกะปิปลาทูทอดกับผักสด อย่างน้อย 3-4 มื้อต่อสัปดาห์

- ระวังการใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์และยาลูกกลอนต่างๆ ที่มีผลทำให้กระดูกพรุน

10. "กล้ามเนื้อ"

ข้อเท็จจริง : หลังอายุ 40 ปี ต่อจากนั้นทุกๆ ปี มวลกล้ามเนื้อจะลดลงและเปลี่ยนเป็นไขมัน อัตราการเกิดนั้นไม่สม่ำเสมอขึ้นอยู่กับรูปแบบกิจกรรมในชีวิตประจำวัน

วิธียืดอายุ :

- วิดพื้น สวอท และยกน้ำหนักแต่ละท่า ทำประมาณ 15 -20 ครั้ง นับเป็น 1เซ็ต ทำทุกวันอย่างน้อยครั้งละ 2 เซ็ต

- รับประทานอาหารที่มีสารแอนติออกซิแดนท์สูง เช่น ผักหลากสี ผลไม้รสเปรี้ยว รสฝาดขม ช่วยชะลอ กระบวนการเสื่อมของเซลล์ได้ อย่าลืมเสริมด้วย การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทำสมาธิ และหาโอกาสออกไปพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ เพื่อลดความเครียด (ตัวการเร่งให้เกิดกระบวนการเสื่อมของเซลล์) ก็ช่วยยืดอายุให้อวัยวะต่างๆ ได้เช่นกัน